วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัญหาที่แท้จริงในเวลานี้คือคนไทยทุกคนขาดความสามัคคี

พอดีไปอ่านบทความดีๆมา ผมเห็นว่าก่อนที่เราจะถกเถียงกันไปในเรื่องของการเลือกตั้งว่าจะทำการปฏิรูปก่อนหรือหลังการเลือกตั้งดี เหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวาน มันสะท้อนให้ผมเห็นว่าไม่ว่าจะเลือกตั้งก่อนปฏิรูปหรือปฏิรูปแล้วก็เลือกตั้ง คำถามในลักษณะนี้ ต่อให้เราเถียงให้ตาย รบกันเอง ฆ่ากันเองให้ตายไปข้างหนึ่ง มันก็ไม่มีทางสร้างหนทางที่จะเดินหน้านำพาประเทศไปสู่อิสระภาพและมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้สมดังเจตนารมณ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เหตุเพราะต้นตอของปัญหาอันแท้จริงที่กำลังสร้างความขัดแย้งในปัจจุบัน ถ้าเปรียบเป็นมะเร็งแล้วดูท่ามันจะลุกลาม ยิ่งรักษาก็ไม่หายขาดเป็นที่แน่นอน ผมได้ทบทวนดูอีกครั้ง ความคิดเห็นของผมในเวลานี้อาจจะไม่โดนใจใคร (อยากด่า ก็เชิญนะครับ แต่อย่าให้ผมได้ยินก็แล้วกันเพราะผมไม่ใช่ผูก ผมแค่อยากนำเสนอข้อเท็จจริงหลังจากจมปลักอยู่กับเหตุผลจอมปลอมมาหลายเดือนแล้ว นั่นคือ พวกเรากำลังหลงประเด็น คิดเกินความจริงไปข้อหนึ่งซึ่งเหมือนศรีธนญชัย ที่คิดจะเอาตัวรอด เพราะก็ได้ไปร่วมเดินประท้วง เป็นตัวตั้งตัวตีมาเหมือนกัน แต่พอดี เมื่อเช้าผมได้พบปะพูดคุยกับแม่ชีคนหนึ่งกับผู้โดยสารที่นั่งอยู่ใกล้กัน แม่ชีท่านว่า ไม่มีนักการเมืองคนไหนหรอกที่ไม่โกง แม้กระทั่งผมเองก็ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ เกเรกับงานก็บ่อย แต่ผมฟังแม่ชีพูดแล้วผมก็เห็นจริง แม่ชีบอกว่าคนที่อยู่ข้างบน เป็นหัวหน้า เขาอยากจะทะเลาะกันก็ปล่อยเขาไป ส่วนประชาชนคนไทยที่ยังต้องอาศัยอยู่ในเมืองไทยนั้น เรายังคงต้องอยู่กันอีกนาน
แม่ชีบอกว่าพวกเราอยู่ข้างล่างจะตีกันทำไมทั้ง 2 ข้าง จะเข่นฆ่ากันไปทำไม ทิฐิในตัวเราเองหรือเปล่า  เราคนไทยแตกแยกออกเป็น 2 ฝั่ง 2 ฝ่าย ต่อสู้เข่นฆ่ากันเอง ถกเถียงกัน เกือบทุกที่ของประเทศ บอกตามตรงผมไปไหนไม่สะดวกใจเลยครับ หูมันคอยระแวงว่าคนที่เดินข้างๆ สวนไปสวนมาเขาสีไหนกันแน่ แต่แม่ชีให้คำแนะนำว่า เราประชาชนผู้อยู่ข้างล่าง พวกเรายากจน และไม่เคยได้มีใครคิดจะลุกมาเป็นผู้นำแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง แม่ชีพูดว่า เราเป็นชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ก็จับมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นด้วย 2 มือของเราเองทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ต้องทะเลาะวิวาทตามเขาข้างบนไป ไม่ต้องทำผิดกฏหมาย ซึ่ง ณ เวลานี้ผมมองว่าเป็นโอกาสดีเพราะเราแบ่งข้างกันชัดเจน เลือกฝ่ายที่ชอบและก็เริ่มหาวิธีสกปรก ใส่ความกันไปมา ทำได้ตั้งแต่ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เกิดความระแวง เดินไปไหนบนถนนไทยไม่แน่ใจว่าจะมีใครมาตีหัวกบาลตอนไหน และเมื่อเกิดความสูญเสียสิ่งที่ทำได้คือยกย่องเขาให้เป็นวีรชนคนกล้าที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมถามตัวเองหลายครั้ง ว่าชัยชนะที่รออยู่คืออะไร และมันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองของเราไดเไหม รอยยิ้มสยามจะกลับสู่ประเทศไทยได้หรือไม่ บังเอิญผมได้อ่านบทความเรื่องหนึ่ง เขาเขียนถึงสถานการณ์บ้านเราว่าปัญหาที่แท้จริงในเวลานี้คือคนไทยทุกคนนี่แหละครับเพราะกฏหมายที่มีการบังคับใช้อยู่ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ประเทศไทยกำลังฉุดกระชากลากถูกันลงเหว และการเปลี่ยนแปลงมันก็อาจจะเกิดโดยฝ่ายที่ฆ่าคนไทยได้เยอะที่สุดเป็นผู้ชนะ 


กปปส.ใช้วิธีสันติอหิงสา ชุมนุมมา 3 เดือนแล้ว สิ่งที่สูญเสียไปมันกลายเป็นชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เขายังไม่เข้าใจดีว่าประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร สุดท้ายคนไทยก็ตอบไม่ได้สักคนว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร ผมเองก็ชักไม่มั่นใจแล้วเหมือนกัน เราต่างสูญเสีย และ หลังพิงฝา จะด้วยเพราะว่าความต้องการของทักษิณ ผู้เป็นนักโทษหนีคดีที่หนีไปนอนกระดิกเท้าอยู่ดูไบ นอนดูพวกเราคนไทยฆ่ากันเอง ความฉิบหายก็เกิดกับไทยทั้งนั้น ผมยังไม่ได้หมายถึงการคอร์รัปชั่นที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำจัดแบบขุดรากถอนโคนให้หมดไป ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ก็ต้องให้เวลากับมัน


...แต่คำถามที่ผมสงสัยก็คือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะแล้วมันตอบโจทย์ให้กับประเทศไทยได้หรือไม่ เพราะพอฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาลอีกฝ่ายหนึ่งก็จะเป็นอันธพาลไม่มีวันเลิก ผมอยากขอให้พี่น้องทบทวนสักนิดถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองในเวลานี้ เรากำลังก้าวไปสู่ความเป็นรัฐล้มเหลว หรือรัฐล้มละลาย ซึ่งแน่นอน มันเป็นคำตอบที่ทำให้เกิดชัยชนะ แต่ผมมองว่า คำๆนี้ละครับที่เราต้องรีบทำด่วนที่สุด พอดีไปอ่านบทความดีๆมา ผมเห็นเข้าแล้วเริ่มมองเห็นหนทางที่ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง ยาวซักหน่อย แต่ขอท่านอดทนอ่านดูสักเล็กน้อยครับ

ท่านทั้งหลายคงได้ตระหนักดีกันแล้วว่า ปัญหาของประเทศไทยของสังคมไทย ที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะเป็นต้นเหตุของความยากจน นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด และในที่สุดก่อให้เกิดการเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศไทย โดยมวลมหาประชาชน หรือปฏิวัติประชาชน หรือประชาภิวัตน์ สุดแต่จะเรียก

ทั้งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ยังเป็นปัญหาสำคัญสูงสุดในการบ่อนทำลายความสงบสุขของชาติทำลายศีลธรรม ความถูกต้องดีงาม และความสามัคคีของคนในชาติ ขณะนี้สังคมไทยกำลังถูกจับตามองของสังคมโลกว่าเป็นประเทศที่มีการทุจริตเป็นอันดับต้นๆ ของโลก หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้โดยไม่มีมาตรการทางกฎหมายทางสังคม มาป้องกันและปราบปรามอย่างเด็ดขาด จริงจังแล้วก็ไม่แน่ว่าในที่สุดอาจตกเป็นรัฐที่ล้มเหลว (Failing State) หรือเป็นประเทศที่ล้มละลาย (Bankrupt State) ก็ได้

นั่นหมายถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ เป็นมหันตภัยของชาติ

นักปราชญ์ท่านได้กล่าวไว้ว่า บุคคลเกิดมาอาจโชคร้ายเพราะเหตุ 2 ประการคือ

ประการหนึ่งคือ เกิดในประเทศที่มีแต่การสงคราม

ประการหนึ่งคือ เกิดในประเทศที่ผู้ปกครองฉ้อฉลทุจริต เข้าไปในป่าที่มีเสือดุร้ายก็ไม่แน่ว่าเสือจะกัดหรือไม่ แต่อยู่ในประเทศที่มีผู้ปกครองฉ้อฉล มันจะกัดเอาอย่างแน่นอน กล่าวคือร้ายยิ่งกว่าเสือนั้นเอง

อย่าปล่อยให้คุณภาพชีวิต (quality of Life) ของคนไทยเพื่อนร่วมญาติต้องตกต่ำ หรือต้องลำบากยากไร้ หรือนำไปสู่สงครามกลางเมือง (Civil War)

ขอได้โปรดมาร่วมกันใช้สติปัญญา ศึกษาค้นคว้า หรือวิจัยเพื่อหาหนทางแก้ปัญหาโดยเร่งด่วนที่สุดก่อนจะสายเกินกว่าจะแก้ไขได้ ก่อนสังคมไทยจะเสียหาย คนในชาติแตกความสามัคคีกันยิ่งกว่านี้

เท่าที่ปรากฏในเบื้องต้นพบว่ามาตรการทางกฎหมาย การเมืองและศีลธรรมทางสังคมมีความบกพร่องหลายประการ จนกลายเป็นจุดอ่อนและควรได้รับการแก้ไขโดยด่วน กล่าวคือ
มาตรการทางกฎหมาย

1.หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตของชาติปฏิบัติงานล่าช้ากรณีนักการเมือง หรือข้าราชการทุจริตในเรื่องร้ายแรง วงเงินสูง กว่าจะรู้ผลคนทั้งหลายก็ลืมเลือนแล้ว ต้องแก้ไขให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีฉุกเฉินและรู้ผลภายในหกเดือน เป็นต้น ทั้งต้องเป็นหน่วยงานเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนโดยแท้จริง

2.ต้องแก้กฎหมายเพิ่มโทษฐานคอร์รัปชั่นให้เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ยี่สิบปี ถึงประหารชีวิต และกำหนดอายุความไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีเช่นเดียวกับประเทศจีน

3.ต้องแก้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ราษฎรทั่วไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีทุกจริตคอร์รัปชั่นได้โดยถือว่าเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายด้วย

4.ต้องแก้กฎหมายให้ความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่นให้เป็นมูลฐานความผิดหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินด้วย เพื่อให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินได้ทันที ป้องกันการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินระหว่างคดีดังเช่นได้เกิดขึ้นแล้วในหลายคดี

5.ต้องมีกฎหมายบัญญัติให้ข้าราชการและข้าราชการการเมืองทุกระดับชั้นแจ้งบัญชีทรัพย์สินตั้งแต่เข้าสู่ตำแหน่ง และทุกสิบปี ถ้าหากมีใครมีรายได้เพิ่มมากพิเศษก็ต้องแจ้งทุกครั้ง เพราะปัจจุบันเก็บข้อมูลได้มากไม่สิ้นเปลืองกระดาษดังแต่ก่อนแล้ว

มาตรการทางสังคม

1.จะต้องให้คณะรัฐมนตรีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาหรือสาบานตนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นก่อนเข้ารับหน้าที่ แม้จะแลดูล้าหลังไปบ้างก็ตาม

2.น่าจะต้องปรับปรุงตำราเรียนให้นักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรียนวิชาความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ ถึงผลเสียของการซื้อสิทธิขายเสียงว่าในที่สุดประเทศชาติได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด เพราะบางส่วนอาจไม่ได้เรียนมัธยมต่อไป

3.น่าจะต้องสร้างระบบคุณธรรม ศีลธรรม ให้ยกย่องเชิดชูผู้นำต้นแบบ (Role Modal) ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชั่น ไม่คดโกง ฉ้อฉล ให้เป็นต้นแบบของสังคม ในทำนองรัฐบุรุษ (Statesman) เหมือนเช่นประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพื่อลบล้างความคิดว่า ?โกงก็ไม่เป็นไร ขอให้เราได้ส่วนแบ่งบ้างก็แล้วกัน? เป็นต้น

โปรดช่วยกันคิด โปรดช่วยกันทำ โปรดอย่าได้นิ่งเฉย เพื่อประเทศไทย เพื่อสังคมไทย และเพื่อเพื่อนร่วมชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกๆ คน จงมาช่วยกันเถิดครับ


***ขอบคุณบทความอ้างอิง...ฐนยศ คีรีนารถ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น