แนวทางการปรองดองเพื่อปรับระดับความเข้าใจในประชาธิปไตย(ของฉัน)
บทสรุปของสภาวะปัญหาต่างๆของประเทศไทย นับจากที่ได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก ในสมัยรัชการที่ 7 นั้น ในมุมมองของนักนิติฯอย่างฉัน มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก แต่พอกระโดดเข้ามาคลุกวงในแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่แก้ไข-สะสางปัญหาต่างๆเหล่านั้นให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้ ด้วยเพราะในภาพรวมของปัญหานั้น ฉันมองเห็นได้ไม่ยาก อาจเพราะลอยตัวอยู่ข้างนอก จากความเข้าใจแต่เดิมที่ว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูนนั้น ในมุมมองของฉัน มองว่ามันก็ไม่น่าจะผิด แต่มันก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด ในความรู้สึกของฉันเท่าที่รู้จักคำว่า ประชาธิปไตย ฉันอยากจะอธิบายว่า ประชาธิปไตย เป็นรูปแบบการปกครองแบบหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยเรานั้นมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ในส่วนนี้ ค่อนข้างชัดเจนเนื่องจากความเป็นมาของประเทศและประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ถึงการรบที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยก่อนต้องเอาเลือดเนื้อและชีวิต แลกและปกป้องมาพร้อมกับบรรพบุรุษไทยที่ต่อสู้มาร่วมกัน
แม้กระทั่งในสมัยรัชกาลที่7 ทราบว่าพระองค์ก็ได้เตรียมทดลองใช้ระบอบการปกครองรูปแบบนี้ เพื่อเตรียมพระราชทานให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว แต่ก็บังเอิญมาเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองโดยคณะราษฎร์เสียก่อน
ฉันก็ไม่รู้ว่าภาษาการปกครองนั้นต้องใช้คำว่าอะไร แต่สำหรับฉัน พฤติกรรมที่จะก่อให้เกิดกระแสการปรองดอง และการมีส่วนร่วมกันของคนในสังคมไทยนั้นควรต้องเป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกัน คือไม่ใช่ความขัดแย้ง และไม่ใช่การยึดอำนาจโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ความเข้าใจที่ว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูนนั้น สำหรับฉันเป็นความคิดที่ไม่ตรงต่อหลักการสักเท่าไหร่ เพราะถ้าฉันย้อนเวลากลับไปอดีตได้ ฉันถามตัวเองว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ที่จะปลูกต้นไม้ในวันนั้นให้ได้ต้นประชาธิปไตยได้อย่างไร
ข้อแรก หากฉันบอกว่า ประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน ของวิถีและขอบเขตของประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองรูปแบบหนึ่ง ที่ยึดหลักความเป็นกลางอย่างเป็นธรรม นั่นคือหลักของธรรมาภิบาล หมายความว่า เมื่อคุณเป็นนักปกครอง วันนี้ คุณจะต้องปกครองและบริหารบ้านเมืองไทยนี้ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข สงบสุขและสันติได้ด้วยวิธีใดบ้าง คำตอบอาจตอบได้เป็นหางว่าว แต่มันจะต้องมีถ้อยคำสักคำหนึ่ง ที่กลั่นกรองแล้วได้ภาพรวมออกมาที่เหมือนกันคือต้องได้ต้นประชาธิปไตย --- เท่านี้คือเบื้องต้นที่ฉันจะพิจารณา โดยอาจจะไล่ไปตามลำดับความสำคัญเช่น ไม่คดโกงชาติไม่ทุจริต ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่และไม่ ถามนักปกครองกลับสักนิดว่า คำว่าบริหารท่านให้คำจำกัดความคำๆนี้อย่างไร ฉันคงจะไม่ตอบคำถามว่าต้องตอบอย่างไร แต่จะบอกว่า เมื่อจะปลูกต้นประชาธิปไตย ให้ได้นั้นคุณได้เพาะเมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยลงในหัวใจคุณหรือยัง ถ้าคุณตอบว่าเพาะแล้วนี้ไงเมล็ดรัฐธรรมนูน ถามว่าคุณจะมีทางปลูกเมล็ดรัฐธรรมนูญอย่างไรให้ได้ต้นประชาธิปไตย คำตอบคือไม่มี!
งั้นถ้าบอกใหม่ว่าจงปลูกเมล็ดพันธ์แห่งความเท่าเทียมกัน ลงในพื้นที่ในใจมนุษย์ประชาชนทุกคนในประเทศพร้อมกัน เช่นนี้ทำได้หรือไม่ เพราะเมล็ดแห่งความเท่าเทียมกันนี้เมื่อเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นต้นไม้ มีกิ่ง ก้าน ใบ ที่เราคนไทยสามารถเรียกชื่อว่าต้นประชาธิปไตย นั่นเอง
-บนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน เมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยจะเติบใหญ่ได้เต็มที่ นี่ต่างหากคือสิ่งที่ต้องปลูกลงไปในใจคนไทยทุกคน (ไม่เว้นแม้แต่พระมหากษัตริย์ที่พระราชทานให้ ) จากนั้นเมื่อต้นไม้ที่ชื่อประชาธิปไตยนี้เติบโต เบ่งบานในใจคนทุกคนแล้ว เราทั้งประเทศก็เอาต้นไม้ทุกต้นมัดใส่พานทองสักใบหนึ่ง ในพานทองนี้แหละคือต้นประชาธิปไตยของทุกคนในชาติที่เอามารวมกันเป็นหนึ่ง .....ในขั้นที่ 1
เมื่อมองลงมาถึงในขั้นที่ 2 เราย้อนกลับมาดูวิธีปลูกเมล็ดพันธ์ที่แต่ละคนมีอยู่ทุกคนๆละ 1 ว่าคุณผู้บริหารจะปลูกเมล็ดนี้ลงในใจประชาชนอย่างไร ให้ทุกๆดวงใจของคนไทยมีเมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยอยู่ก้นหลุม
ทุกๆหลุม และเมื่อต่างคนต่างรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย จนเติบโตเป็นต้นประชาธิปไตยแล้ว ผู้บริหารก็เรียกประชาชนทุกคนมา เอาต้นที่ว่ามามัดรวมกันใส่พาน ทั้งมัดที่อยู่ร่วมกันในพานนี้เองคือมัดของต้นประชาธิปไตยของพวกคุณคนไทยทุกคน
ส่วนวิธีที่ใช้ปลูกตอนหย่อนเมล็ดพันธ์ลงก้นหลุม เอาดินกลบฝังแล้วรดน้ำ จนเสร็จเรียบร้อยนั้นถึงได้เรียกว่ารัฐธรรมนูน เพียงเท่านี้ คนไทยก็จะได้ต้นประชาธิปไตยมัดรวมกันใส่อยู่ในพานทองซึ่งได้จากการปลูกด้วยวิธีที่ชื่อรัฐธรรมนูน
(เชื่อว่าภายหลังพอคนพูดตัดคำออกไปสั้นๆเข้า จึงกลายเป็นประชาธิปไตยคืออะไร คนตอบก็ชี้ไปที่พานแล้วตอบว่านั่นไง เห็นเขาเรียกอะไรนะ รัด ถะ ทำ มะ นูน อะไรสักอย่างนี้เองแหละ !!! นะคะ
บทสรุปของสภาวะปัญหาต่างๆของประเทศไทย นับจากที่ได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก ในสมัยรัชการที่ 7 นั้น ในมุมมองของนักนิติฯอย่างฉัน มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก แต่พอกระโดดเข้ามาคลุกวงในแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่แก้ไข-สะสางปัญหาต่างๆเหล่านั้นให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้ ด้วยเพราะในภาพรวมของปัญหานั้น ฉันมองเห็นได้ไม่ยาก อาจเพราะลอยตัวอยู่ข้างนอก จากความเข้าใจแต่เดิมที่ว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูนนั้น ในมุมมองของฉัน มองว่ามันก็ไม่น่าจะผิด แต่มันก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด ในความรู้สึกของฉันเท่าที่รู้จักคำว่า ประชาธิปไตย ฉันอยากจะอธิบายว่า ประชาธิปไตย เป็นรูปแบบการปกครองแบบหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยเรานั้นมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ในส่วนนี้ ค่อนข้างชัดเจนเนื่องจากความเป็นมาของประเทศและประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ถึงการรบที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยก่อนต้องเอาเลือดเนื้อและชีวิต แลกและปกป้องมาพร้อมกับบรรพบุรุษไทยที่ต่อสู้มาร่วมกัน
แม้กระทั่งในสมัยรัชกาลที่7 ทราบว่าพระองค์ก็ได้เตรียมทดลองใช้ระบอบการปกครองรูปแบบนี้ เพื่อเตรียมพระราชทานให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว แต่ก็บังเอิญมาเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองโดยคณะราษฎร์เสียก่อน
ฉันก็ไม่รู้ว่าภาษาการปกครองนั้นต้องใช้คำว่าอะไร แต่สำหรับฉัน พฤติกรรมที่จะก่อให้เกิดกระแสการปรองดอง และการมีส่วนร่วมกันของคนในสังคมไทยนั้นควรต้องเป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกัน คือไม่ใช่ความขัดแย้ง และไม่ใช่การยึดอำนาจโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ความเข้าใจที่ว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูนนั้น สำหรับฉันเป็นความคิดที่ไม่ตรงต่อหลักการสักเท่าไหร่ เพราะถ้าฉันย้อนเวลากลับไปอดีตได้ ฉันถามตัวเองว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ที่จะปลูกต้นไม้ในวันนั้นให้ได้ต้นประชาธิปไตยได้อย่างไร
ข้อแรก หากฉันบอกว่า ประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน ของวิถีและขอบเขตของประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองรูปแบบหนึ่ง ที่ยึดหลักความเป็นกลางอย่างเป็นธรรม นั่นคือหลักของธรรมาภิบาล หมายความว่า เมื่อคุณเป็นนักปกครอง วันนี้ คุณจะต้องปกครองและบริหารบ้านเมืองไทยนี้ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข สงบสุขและสันติได้ด้วยวิธีใดบ้าง คำตอบอาจตอบได้เป็นหางว่าว แต่มันจะต้องมีถ้อยคำสักคำหนึ่ง ที่กลั่นกรองแล้วได้ภาพรวมออกมาที่เหมือนกันคือต้องได้ต้นประชาธิปไตย --- เท่านี้คือเบื้องต้นที่ฉันจะพิจารณา โดยอาจจะไล่ไปตามลำดับความสำคัญเช่น ไม่คดโกงชาติไม่ทุจริต ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่และไม่ ถามนักปกครองกลับสักนิดว่า คำว่าบริหารท่านให้คำจำกัดความคำๆนี้อย่างไร ฉันคงจะไม่ตอบคำถามว่าต้องตอบอย่างไร แต่จะบอกว่า เมื่อจะปลูกต้นประชาธิปไตย ให้ได้นั้นคุณได้เพาะเมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยลงในหัวใจคุณหรือยัง ถ้าคุณตอบว่าเพาะแล้วนี้ไงเมล็ดรัฐธรรมนูน ถามว่าคุณจะมีทางปลูกเมล็ดรัฐธรรมนูญอย่างไรให้ได้ต้นประชาธิปไตย คำตอบคือไม่มี!
งั้นถ้าบอกใหม่ว่าจงปลูกเมล็ดพันธ์แห่งความเท่าเทียมกัน ลงในพื้นที่ในใจมนุษย์ประชาชนทุกคนในประเทศพร้อมกัน เช่นนี้ทำได้หรือไม่ เพราะเมล็ดแห่งความเท่าเทียมกันนี้เมื่อเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นต้นไม้ มีกิ่ง ก้าน ใบ ที่เราคนไทยสามารถเรียกชื่อว่าต้นประชาธิปไตย นั่นเอง
-บนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน เมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยจะเติบใหญ่ได้เต็มที่ นี่ต่างหากคือสิ่งที่ต้องปลูกลงไปในใจคนไทยทุกคน (ไม่เว้นแม้แต่พระมหากษัตริย์ที่พระราชทานให้ ) จากนั้นเมื่อต้นไม้ที่ชื่อประชาธิปไตยนี้เติบโต เบ่งบานในใจคนทุกคนแล้ว เราทั้งประเทศก็เอาต้นไม้ทุกต้นมัดใส่พานทองสักใบหนึ่ง ในพานทองนี้แหละคือต้นประชาธิปไตยของทุกคนในชาติที่เอามารวมกันเป็นหนึ่ง .....ในขั้นที่ 1
เมื่อมองลงมาถึงในขั้นที่ 2 เราย้อนกลับมาดูวิธีปลูกเมล็ดพันธ์ที่แต่ละคนมีอยู่ทุกคนๆละ 1 ว่าคุณผู้บริหารจะปลูกเมล็ดนี้ลงในใจประชาชนอย่างไร ให้ทุกๆดวงใจของคนไทยมีเมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยอยู่ก้นหลุม
ทุกๆหลุม และเมื่อต่างคนต่างรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย จนเติบโตเป็นต้นประชาธิปไตยแล้ว ผู้บริหารก็เรียกประชาชนทุกคนมา เอาต้นที่ว่ามามัดรวมกันใส่พาน ทั้งมัดที่อยู่ร่วมกันในพานนี้เองคือมัดของต้นประชาธิปไตยของพวกคุณคนไทยทุกคน
ส่วนวิธีที่ใช้ปลูกตอนหย่อนเมล็ดพันธ์ลงก้นหลุม เอาดินกลบฝังแล้วรดน้ำ จนเสร็จเรียบร้อยนั้นถึงได้เรียกว่ารัฐธรรมนูน เพียงเท่านี้ คนไทยก็จะได้ต้นประชาธิปไตยมัดรวมกันใส่อยู่ในพานทองซึ่งได้จากการปลูกด้วยวิธีที่ชื่อรัฐธรรมนูน
(เชื่อว่าภายหลังพอคนพูดตัดคำออกไปสั้นๆเข้า จึงกลายเป็นประชาธิปไตยคืออะไร คนตอบก็ชี้ไปที่พานแล้วตอบว่านั่นไง เห็นเขาเรียกอะไรนะ รัด ถะ ทำ มะ นูน อะไรสักอย่างนี้เองแหละ !!! นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น