ความจริงการสืบสวน เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์
นั่นคือธรรมชาติของความอยากรู้
อยากเห็น คงไม่มีมนุษย์คนใดที่ไม่เคยมีความอยากรู้อยากเห็น
จะต่างกันก็เพียงพฤติการณ์ของความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน
ใครมีความอยากรู้อยากเห็นมาก
และจริงจังก็จะพยายามให้ได้รู้ในสิ่งที่อยากจะรู้นั้นจนได้ แม้ไม่เคยมีวิชาความรู้ในการสืบสวนมาก่อน
โดยเขาเหล่านั้นจะใช้สามัญสำนึกและวิจารณญาณของตัวเอง ตามที่วิญญูชนทั่วไปพึงมี
ค้นคว้า สืบเสาะ ฯลฯ จนสามารถรู้ในสิ่งที่อยากจะรู้นั้นได้ เช่น
ภรรยาสามารถจับผิดสามีที่นอกใจไปมีภรรยาน้อยได้
โดยไม่ต้องไปเรียนวิชาสืบสวนจากที่ไหนมาก่อน
นั้นเป็นเพราะภรรยาหลวงมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง สามีไปมีภรรยาน้อยจริง ๆ
หรือไม่ และสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหล่านั้นต้องทำ ก็คือการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล
แล้วนำมาคาดเดาด้วยการสร้างจินตนาการ ตามสามัญสำนึกแห่งบุคคล
บนพื้นฐานของเหตุและผล ตามข้อมูลที่ได้มา
ดังนั้น
การสืบสวนจึงมีหลักในการปฏิบัติคือ
การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แล้วนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ และคาดเดา ด้วยการสร้างจินตนาการ
ตามสามัญสำนึกแห่งบุคคล บนพื้นฐานของเหตุและผล
โดยตั้งเป็นสมมุติฐานแล้วพิสูจน์สมมุติฐานนั้น เพราะฉะนั้นข้อมูลของคดี จึงเป็นปัจจัยอันสำคัญที่สุดในการสืบสวน
โดยทั่วไปแล้ว “ข้อมูล” จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ข้อเท็จจริง คือ
ข้อมูลที่เป็นความจริง ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงแล้ว
2. ข้ออนุมาน คือ ข้อมูลที่คาดเดาเอาเอง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง เช่น
คนร้ายน่าจะ มี 3 คน
ความหมายของการสืบสวนตาม ป.วิอาญา ม.2 (10) ซึ่งบัญญัติไว้ว่าการสืบสวน
หมายถึง การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน
ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่
เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด
จึงเป็นบทบัญญัติที่อธิบายนิยามของการสืบสวนได้เป็นอย่างดี
หรืออาจกล่าวได้สั้น ๆ
ว่า การสืบสวนคือการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิด
และเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งคดี
เพราะฉะนั้น
หัวใจของการสืบสวนก็คือการรวบรวมข้อมูล เพื่อหาข้อเท็จจริงนั่นคือ
การนำข้อมูลมาแยกแยะ ว่าข้อมูลใดเป็นข้อเท็จจริง ข้อมูลใดเป็นข้ออนุมาน
*ดังนั้นจึงนิยามได้ว่า
วิธีการสืบสวนคือ
-
กระบวนการรวบรวมข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับคดี
-
แล้วนำข้อมูลนั้นมาแยกแยะ ให้เป็นข้อเท็จจริง และข้ออนุมาน
-
เพื่อนำมาวิเคราะห์คดีที่เกิดขึ้นว่าน่าจะเป็นเช่นใด
-
ด้วยการสร้างจินตนาการ ตามสามัญสำนึกแห่งบุคคล
-
บนพื้นฐานของเหตุและผล
-
โดยตั้งสมมุติฐาน ด้วยการแยกเป็นประเด็นปัญหา
-
และจัดลำดับความสำคัญ และเร่งด่วนของประเด็นปัญหานั้น
-
แล้วรีบดำเนินการสืบสวนเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานไปตามลำดับความสำคัญและเร่งด่วน
อย่างมุ่งมั่น อดทน และต่อเนื่อง โดยมิชักช้า
-
เพื่อพิสูจน์ความผิดและจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี
-
โดยยึดหลักความจริงตามแนวทางของ
-
ตรรกวิทยา
-
จิตวิทยา
-
และปรัชญา
ตรรกวิทยา
คือ วิชาที่ว่าด้วยเรื่องเหตุและผล
ซึ่งการสืบสวนต้องใช้หลักของเหตุและผลเป็นสำคัญในการพิจารณาข้อมูลให้เป็นข้อเท็จจริง
จิตวิทยา
คือ วิชาที่ว่าด้วยเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์
การสืบสวนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนร้าย พยาน และผู้เสียหายโดยตรง
เช่น การใช้หลักของพฤติกรรมมนุษย์ที่แสดงออกต่อสิ่งเร้า
ไปสร้างเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใช้ในการจับเท็จหรือการพิจารณาพฤติกรรมของผู้ที่เรากำลังสอบปากคำ ดังนั้น
การสืบสวนจึงต้องพิจารณาพฤติกรรมของคนร้าย ผู้เสียหาย และประจักษ์พยานเพื่อนำไปสู่การพิจารณาข้อมูลเป็นสำคัญ
ปรัชญา
คือ วิชาที่มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย แต่โดยสรุปแล้วปรัชญา คือ
วิชาที่ว่าด้วยการแสวงหาความรู้ที่เป็นจริงแท้แน่นอน ที่ไม่มีสิ่งใดจะจริงแท้ไปกว่านี้อีกแล้ว
นั่นคือ ความรู้อันประเสริฐ คือไม่มีความรู้ใดที่ประเสริฐไปกว่านั้นอีกแล้ว
ปรัชญาที่เอามาใช้เป็นแนวทางในการสืบสวนนั้น
คือ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ต้องวิเคราะห์อย่างปรัชญาว่า ข้อมูลนั้น ๆ
เป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่ มีความจริงเหนือขึ้นไปกว่านั้นอีกหรือไม่ เช่น
เราถามคนว่าบ่อน้ำอุ่นหรือเย็น ถ้ามีคนตอบว่าน้ำเย็น เราก็ต้องคิดต่อไปอีกว่า
คนที่ตอบว่าน้ำในบ่อที่เย็นนั้น สภาพแวดล้อมหรือบริบทของเขาขณะนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าเขามาจากที่ร้อน เขาย่อมตอบว่าน้ำนั้นเย็น แต่ถ้าเขามาจากที่เย็น เขาย่อมตอบว่าน้ำนั้นอุ่น
ฉะนั้นการที่คนตอบว่าน้ำเย็น ยังเป็นคำตอบที่ต้องค้นหาความจริงต่อไปว่า
ที่เขาว่าเย็นนั้น เป็นเพราะเหตุใด เป็นจริงเช่นนั้นหรือไม่
การสืบสวนจึงต้องพิจารณาข้อมูล โดยใช้แนวทางของปรัชญา ตรรกวิทยา จิตวิทยา
และปรัชญา จึงเป็นแนวทางที่นำไปสู่การพิจารณาแยกแยะข้อมูลให้เป็นข้อเท็จจริง
หรือข้ออนุมาน หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ในกระบวนการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์นั้น ผู้สืบสวนต้องคิดอย่างตรรกวิทยา
จิตวิทยา และคิดอย่างปรัชญา
ฉะนั้นถ้าใครรวบรวมข้อมูลได้มาก แยกแยะข้อมูลเป็น วิเคราะห์เก่ง
ก็จะนำไปสู่ความสำเร็จได้
นั่นคือการพยายามหาข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อะไรเป็นข้อเท็จจริง
ให้ตั้งไว้เป็นหลักยึดข้อมูลใดเข้ากับข้อเท็จจริงที่นำมาตั้งไว้เป็นหลักยึดไม่ได้
ข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องให้ตัดทิ้งอย่างสิ้นเชิง
ข้อเท็จจริงจึงเป็นข้อมูลหลักที่จะเป็นแบบหรือแนวทางให้ข้อมูลอื่นมาสวมต่อได้อย่างสนิทสนมและเจือสม
เหมือนกับการต่อภาพจิ๊กซอ ที่มีการต่อภาพไปเรื่อย ๆ
จนภาพสุดท้ายประกอบกันกลายเป็นรูปที่สมบูรณ์
ดังนั้นข้อมูลใดที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว
ไม่ต้องพิสูจน์แล้ว จึงเป็นข้อมูลที่มีค่าที่ผู้ทำงานสืบวนทั่วไปปรารถนา
กล่าวโดยสรุปแล้ว
เมื่อเกิดคดีขึ้น จะมีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก ผู้เสียหายที่ถูกประทุษร้าย
ถ้าตายก็พูดให้ข้อมูลไม่ได้ นอกจากสภาพศพที่เกิดขึ้น
ถ้าไม่ตายก็จะมีสภาพเป็นพยานบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งส่วนมากก็ให้ข้อมูลได้ไม่ทั้งหมด
กลุ่มที่สอง คนร้าย ซึ่งหนีไปแล้ว
กลุ่มที่สาม พยาน
ซึ่งส่วนมากก็จะให้ข้อมูลได้ไม่หมดเช่นเดียวกับกลุ่มแรก
กลุ่มที่สี่ ตำรวจผู้สืบสวน จะเป็นผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย
ก็จะเริ่มสืบสวนด้วย การรวบรวมข้อมูล
ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามวิธีการสืบสวนที่กล่าวมาแล้ว ข้อมูลที่เป็นจริง
จึงเป็นปัจจัยอันสำคัญที่สุดที่ต้องใช้ในการสืบสวน
ได้ความรู้อีกแล้ว ผมอยากเป็นนักสืบเอกชน ครับ ไม่ทราบว่าเค้ามีเรียนที่ไหนกันครับ
ตอบลบ