วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไส้เดือนเขียนจดหมายถึงมนุษย์

รอยไส้เดือน    เกลื่อนไป     ในผิวดิน
เป็นลวดลาย     หลายระบิล     หลายท่วงท่า
มีความหมาย     ว่ากระไร     ใครสงกา
หรือเห็นว่า     ไร้สิ่ง     น่าสนใจ
คือจุดหมาย     ไส้เดือน     เตือนมนุษย์
ไม่รู้สิ้น     รู้สุด     มาแต่ไหน
ทั้งคืนวัน     ขยันเขียน     เวียนทำไป
มนุษย์อ่าน     หรือไม่     ไม่อาวรณ์
มันพร่ำบอก     พร่ำสอน     พร่ำวอนว่า
พร่ำพรรณนา     ให้ระวัง     ให้สังหรณ์
ว่าสรรพสิ่ง     เปลี่ยนไป     ไม่ถาวร
ทุกๆ ตอน     อนิจจัง     อนัตตา

................................................................................

ความรู้ทุกชนิดที่โลกรู็ยิ่งเพิ่มความพุ่งขึ้นของโลก เป็นไปเพื่อความเกิด ของตัวตน อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ คือการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ส่วนความรู้เพียงประการเดียวที่เป็นไปเพื่ออิสระและผาสุก คือความรู้เพื่อดับตัวตน อันเป็นการดับทุกข์ในแง่ความรู้นั้น คือรู้ชัดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ว่าเรา ว่าของเรา อยู่ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต...

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Laser ablation inductively coupled plasma mass spectrometry (LA-ICP-MS)

Laser ablation inductively coupled plasma mass spectrometry (LA-ICP-MS)

เป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ชั้นสูงที่ได้มีโอกาสไปศึกษา ดูงาน เพื่อเพิ่มเติมทักษะการใช้เครื่องมือที่สถาบัน UTS ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ เดือนตุลาคม ปี 2554 เป็นระยะเวลา 15 วัน ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เครื่องมือชนิดนี้เป็นเครื่องมือตรวจพิสูจน์ทางเคมี ที่ต่อพ่วงกับระบบเลเซอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการตรวจพิสูจน์ตัวอย่างตรวจ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีอยู่และมีใช้ทั่วไปในปัจจุบัน 

เทคนิค LA-ICP-MS เป็นการวิเคราะห์ตามหลักการ Mass Spectrometry โดยรวมเอาคุณสมบัติของแสงเลเซอร์ มาทำงานร่วมกันกับระบบการทำงานของ ICP-MS ทำให้เทคนิคการตรวจวิเคราะห์มวลไอออน ขยายขอบเขตจนครอบคลุมชนิดของตัวอย่างที่เป็นของเหลว ของแข็ง และก๊าซ อีกทั้งกับผู้ตรวจพิสูจน์ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากการเตรียมตัวอย่างแบบเดิม กล่าวคือ ICP-MS ใช้ตรวจตัวอย่างที่เป็นของเหลว หรือสารละลาย เมื่อต้องการตรวจตัวอย่างที่เป็นของแข็ง ผู้ตรวจพิสูจน์จำเป็นต้องทำการย่อยตัวอย่าง ด้วยกรดเข้มข้น (Acid Digestion) เพื่อเปลี่ยนของแข็งให้เป็นสารละลายก่อน จึงสามารถทำการวิเคราะห์ได้
  
หลักการทำงานของ LA-ICP-MS ก็เป็นหลักการเดียวกันกับ ICP-MS จะแตกต่างกันแค่ในส่วนของการเตรียมตัวอย่างเท่านั้น การที่ในประเทศไทยพบว่าเทคนิค LA-ICP-MS มีการนำไปใช้ในงานการวิเคราะห์ความบริสุทธิ์ของอัญมณีของสถาบันวิจัยอัญมณีฯ การตรวจวิเคราะห์แหล่งน้ำทะเลและใช้เพื่อการศึกษาวิจัยในมหาวิทยาลัยอีก 2 แห่ง สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จึงเป็นหน่วยงานเดียวที่นำหลักการ Mass Spectrometry และเทคนิค LA-ICP-MS มาใช้สนับสนุนงานการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์   

ในต่างประเทศ เทคนิค LA-ICP-MS ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในงานหลายด้านในต่างประเทศ โดยเฉพาะ ออสเตรเลีย สวิสเซอแลนด์ เกาหลี อังกฤษ  โดยนำไปใช้ประโยชน์ในงานด้านธรณีวิทยา; logical, งานชีววิทยาประยุกต์;Biological งานโบราณคดี; Archaeological งานด้านสิ่งแวดล้อม ; Environmental งานด้านนิวเคลียร์ ; Nuclear งานวิทยาศาสตร์ของการทำโลหะผสมผสาน; Metallurgy Sciences การตรวจวิเคราะห์ทาง Microanalysis รวมถึงงานตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ด้วย  แต่ LA-ICP-MS ยังไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทย เพราะเป็นเครื่องมือที่มีราคาสูง การใช้งานและการประมวลผลยังค่อนข้างซับซ้อนอยู่ และการปรับ Performance ของเครื่องมือนี้ หลังเปลี่ยนโหมดการใช้งานต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้งานที่ต้องเชื่อมต่อ 2 ระบบเข้าด้วยกันทุกครั้ง  แต่จากการที่ได้ไปศึกษาดูงานที่สถาบันการศึกษาเพื่อการวิจัยที่ซีดนีย์ ครั้งนี้ ทำให้ทราบว่า โดยปกติ การใช้งานเคริ่องมือนี้ ให้เป็นประโยชน์และมีความเสถียรต่อการระบบการทำงานของเครื่องมือนี้ในต่างประเทศส่วนมากจะไม่ใช้ปรับเปลี่ยนโหมดการใช้จากการตรวจของเหลว กับของแข็ง สลับกันไปมา แต่เลือกที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องและแยกใช้ไปประเภทใดประเภทหนึ่ง คือไม่เลือกตรวจของเหลว ก็ตรวจของแข็งไปเลยอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อความคงที่ของระบบการทำงานของเครื่องมือขณะทำการตรวจ ซึ่งมีผลทำให้ผลการตรวจวิเคราะห์ของเครื่อง LA-ICP-MS มีความถูกต้องมากขึ้น 

...ที่หน่วยงานของผม ใช้เครื่องมือนี้ในการตรวจพิสูจน์เขม่าปืน เพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าคิดถึงเรื่องความคุ้มค่าของเครื่องมือนี้กับขีดความสามารถที่เครื่องมือนี้ทำได้ ผมค่อนข้างเสียดาย ที่ในงานตรวจพิสูจน์ของเหลวของหน่วยงานผม มีการนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มากเท่าที่สมควรจะเป็น แต่จากการได้ดูงานที่ออสเตรเลีย ผมเห็นว่าหลายๆอย่างที่กำลังเป็นที่น่าสนใจและได้รับความสำคัญกับการเอาใจใส่ดูแลของพลเมืองและประชากรโลก อย่างเช่น ทางด้านสิ่งแวดล้อม เครื่องมือนี้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการตรวจวิเคราะห์แร่ธาตุต่างที่อยู่ในดินแหล่งกำเนิด และสามารถระบุที่มาของดินในแต่ละที่โดยการตรวจหาอัตราส่วนของปริมาณแร่ธาตุเอกลักษณ์ในดินบริเวณนั้นๆ ในออสเตรเลีย มีการตรวจวิเคราะห์ไวน์จากในพื้นที่ต่างๆของประเทศออสเตรเลีย เอง และ ประเทศผู้ผลิตไวน์ในโลก โดยทำการตรวจเปรียบเทียบแร่ธาตุที่อยู่ในไวน์แต่ละรส แต่ละยี่ห้อ แล้วสามารถหาความเชื่อมโยงกลับไปหาที่มาของแหล่งที่เป็นผู้ผลิตไวน์ในแต่ละยี่ห้อได้อย่างชัดเจน เนื่องจากประเทศของเขามีพื้นที่กว้างขวาง ความแตกต่างทางธรณีวิทยา แร่ธาตุประกอบในดินที่ปลูกองุ่นที่ใช้ทำไวน์นั้นมีความแตกต่างกันทางกายภาพ ภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อม จนสามารถระบุพื้นที่ซึ่งเป็นดินที่ปลูกองุ่นของไวน์แต่ละยี่ห้อ ได้ ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกัน ในทางนิติวิทยาศาสตร์ของออสเตรเลียได้มีการวิจัยเหล็กที่เป็นตัวปืน โครงปืน และส่วนต่างๆของปืนที่มีในประเทศออสเตรเลียเอง และพบได้บ่อยๆ โดยตรวจเปรียบเทียบอัตราส่วนของเหล็กในปืนต่างกระบอกกัน แล้วสามารถเชื่อมโยงหาชนิด ยี่ห้อ และขนาดของปืนที่น่าจะเป็นได้โดยมีการศึกษาและเก็บไว้ในฐานข้อมูลของตัวเอง ส่วนนี้ก็คือความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเช่นกัน ยังมีตัวอย่างการใช้เครื่องมือนี้อีกหลายอย่างเช่น การตรวจหาอายุของโครงกระดูกมนุษย์ ในกรณีบุคคลสูญหายที่เสียชีวิตโดยการตรวจอายุเฉลี่ยจากการตรวจวัดคาร์บอน 14 และการตรวจฟันน้ำนมเด็กทารกจากชั้นเคลือบฟัน การตรวจเปรียบเทียบสีรถยนต์ หรือ เศษแก้วกระจก ตรวจความบริสุทธิ์ของอัญมณี ตลอดถึงแหล่งน้ำว่ามีที่มาจากที่ใด โดยตรวจอัตราส่วนอิเล็กตรอนของธาตองค์ประกอบในหลักการเดียวกันเช่นกัน 


อ้างอิง
http://www.nhm.ac.uk/research-curation/science-facilities/analytical-imaging/micro-analysis/la-icp-ms/index.html

การจัดการและพัฒนาองค์การโดยยึดหลักธรรมมาภิบาล


โครงการที่ 1 การจัดการและพัฒนาองค์การโดยยึดหลักธรรมมาภิบาล
วัตถุประสงค์


เพื่อสร้างธรรมาภิบาลให้เป็นแบบอย่างในการดำเนินงานพื้นฐานของข้าราชการในสังกัด
เพราะหลักการพัฒนาธรรมในใจที่ผ่านมา ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร การจัดทำระบบ ระเบียบปฏิบัติแบบเดิมเป็นรูปแบบที่มีลักษณะเป็นธรรมเนียมมากเกินไป  คนจึงเข้าใจยาก การสานต่อระดับความเข้าใจทางธรรมจึงยากไปตามลำดับของการปฎิบัติ
ดังนั้นธรรมภิบาลควรเริ่มต้นตั้งแต่บรรทัดแรกของทุกบทบัญญัติ ทุกบรรทัดที่เป็นรากฐานของการกระทำ คนไม่ควรใช้ความฉลาดมากเกินไป  เพราะความฉลาดนำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบและเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นเรื่องของอารยะขัดขืน ยอมความกันไม่ได้ตามกฎหมาย การวัดผลเป็นรูปธรรมจึงไม่ใช่คำตอบของธรรมาภิบาล  แต่ไม่ได้หมายความว่าความเป็นรูปธรรมจะสะท้อนความเป็นธรรมาภิบาลออกมาไม่ได้ เพราะคนเรียนรู้ธรรมมาแล้วแต่เล็กๆ  ต่างคนต่างอ้างว่าตัวเองเป็นธรรม สุดท้ายนำไปสู่พวกมากลากไป ประชาธิปไตยไม่เป็นประชาธิปไตยเสียที  เพราะประชาธิปไตยในรูปแบบที่ตายตัวนั้นเป็นเรื่องของพวกมากลากไปจริงๆ การจะโต้ตอบปัญหาประเภทนี้ จึงต้องดึงเอาระดับความเป็นธรรมะในใจของแต่ละบุคคลขึ้นมา ให้ถึงระดับหนึ่งแล้วมองย้อนกลับลงไปมองดูการกระทำของตนเอง  ซึ่งโดยมากจะไม่มีผลต่อความรับผิดชอบในส่วนตนเนื่องจากโดยมากเป็นการกระทำต่อผู้อื่นเสียมากกว่า เป็นเหตุให้ความเป็นธรรมะสร้างได้ยากมาก ถึงมากที่สุด แม้สร้างแล้วก็ยังคงต้องชั่งใจว่าเขาอยู่ระดับไหน ขั้นไหนแล้ว  สำหรับฉันถ้าให้ออกแบบรูปแบบการตรวจสอบ หรือภาษาทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า Kids น้ำยาตรวจสอบ แบบพกพา นั้น ถามว่าทำได้ไหม คำตอบคือทำได้นะ
เพียงแค่พิจารณารูปแบบนามธรรมของธรรมาภิบาลขึ้นมา แล้วให้คิดย้อนไปหาความเป็นนามธรรมที่ควรเป็นไป หรือโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดของธรรมะข้อนั้น ๆ หรือง่ายๆก็คือการล็อคเลข ให้ออกตามใจสั่งนั่นเอง  เหมือนการล็อคเลขสลาก ที่สามารถทำให้เห็นความเป็นรูปธรรม ซึ่งก็คือตัวเลขก่อนล่วงหน้า โดยตั้งข้อกำหนดและเงื่อนไขให้ตรงกันกับเลขที่ล็อคเท่านั้นเอง ฟังดูง่าย แต่วิธีคิดค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย  เพราะคนโดยปกติใช้สมองคิด  ไม่ใช้ใจคิด จึงไม่เอาใจใส่ในสิ่งที่คิด  เมื่อคิดผิด ความบกพร่องที่เกิดขึ้นจึงถูกปัดเป็นเรื่องของใจ ซึ่งเหมือนกับการปลูกต้นไม้ ถ้าคนปลูกดอกไม้ ลูกที่ได้ควรเป็นดอกไม้ไม่ใช่ผลไม้ เปรียบเหมือนการกระทำจะย้อนไปหาหลักธรรมข้อแรกที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เสียก่อน เพราะคนส่วนมากไม่ค่อยเชื่อเช่นนี้ แต่กลับให้ความเชื่อในส่วนที่เรียกว่าความคิด ซึ่งคือการคาดเดา ไปในทางเข้าข้างตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่  พฤติกรรมเช่นนี้ ทำไปนานๆเข้าจะเกิดเป็นอุปนิสัย ทำอะไร ไม่ค่อยคิดถึงหัวใจชาวบ้านเขาอื่น  แต่โยนความผิดที่เกิดขึ้นให้เขาอื่นเสียแทน ซึ่งในหลักความจริงยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทุกประการ  พระพุทธเจ้าจึงแยกความคิด ออกจากความเห็น  ออกจากความเป็นไปได้ ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง  วันนี้จึงขอนำเสนอกลยุทธิ์ กลวิธีง่ายๆ ที่ใช้ตรวจสอบความเป็นธรรมาภิบาลของคน โดยการให้มีการจัดทำหรือประมวลความคิด จาก 2 ส่วน คือ ส่วนแรก จากความคิดตนเอง และอีกส่วนคือความคิดผู้อื่น  โครงการนี้จึงสามารถถอดรูปแบบเป็นรูป-นาม เพื่อทำการชี้วัดระดับความเป็นธรรมภิบาลได้ไม่ยาก
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน คือ การใช้ อริยมรรค 8 ประการ ให้เป็นรูปแบบที่ตายตัวเสียก่อน การจะเข้าใจถึงระดับนี้ จึงต้องทดสอบความทรงจำที่เรียกว่าอริยมรรค 8 ประการ ขึ้นมาก่อน เป็นกระบวนการ ต่อเนื่อง ให้เห็นความเป็นอัตลักษณ์มากยิ่งขึ้น  โดย อริยมรรค 8 มีดังนี้
1.       สัมมาทิฎฐิ 
หมายถึง ความเห็นถูกต้อง คืออันดับแรกเราจะต้องมีความเห็นที่ถูกต้อง คือ การมีดวงตาเห็นธรรมต้องเห็นธรรมเสียก่อนจึงค่อยทำอะไรต่อไปได้ ครั้นจะศึกษารวบรัด จับคนมานั่งสมาธิ คงเป็นไปไม่ได้แน่แท้ เพราะศาสนาและศีลธรรมกำลังเสื่อมหายไปจากสังคมเรื่อยๆ จึงจัดความเห็นได้จากการจำลองภาพในใจ ที่เป็นรูป และ นาม ออกจากกันเสียก่อน โดยังไม่ต้องลงลึกในส่วนของธรรมะ
2.       สัมมาสังกัปปะ 
หมายถึง ความดำริถูกต้อง ซึ่งคำว่าดำริจะหมายถึง ความคิด ซึ่งควรแยกออกจากความปรารถนา ความใฝ่ฝัน หรือความมุ่งหมาย ในทางที่ดี
ซึ่งแตกต่างจากการศึกษาธรรมสมัยเดิม แล้วจัดรูปแบบการพัฒนาให้เหมาะกับสมองเสียใหม่ คือ คิดแบบลัด กับ คิดแบบตรงไปตรงมา ผลที่ได้จากกระบวนการคิด ลักษณะนี้ จะเป็นการฝึกฝนความชำนาญ ด้านตรรกะและการรู้สึก = ความเข้าใจ
โดยยึดหลักง่ายๆว่า คิดให้ดี คิดให้ไว แต่ต้องไม่กระทบต่อผลของผู้อื่นรอบข้างหนึ่ง ไม่อาฆาตพยาบาท=ความประสงค์ร้ายต่อผลของเขาอื่น จึงตกไปทันที เพราะเมื่อคนคิดให้อยู่ในกรอบที่ถูกกำหนดขอบเขตเสียใหม่ โดยการจำกัดคำให้ชี้ชัดกว่าเดิม แต่ครอบคลุมกว่าเดิม ความรู้ส่วนนี้จะนำไปสู่การศึกษาอันส่งผลต่อพฤติกรรมได้เช่นกันกับการปฏิบัติ เพียงแค่คิด 1 ต่อ แต่สามารถกวาดและเก็บลูกด้านข้างได้ด้วย (กลวิธีคิดแบบนี้ไม่เหมาะสมสำหรับปกครองคน เช่นผู้บริหาร แต่เหมาะสำหรับสอนคนให้เรียนและรู้จักเลือกใช้คำได้อย่างถูกวิธี เช่น มาสเตอร์ เป็นต้น

โปรดติดตาม...

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พอกันทีทุนนิยมก้าวหน้าดีกว่าศักดินาล้าหลัง...ถึงเวลาเปลี่ยนทัศนะวิสัยของนักเมืองยุคใหม่กันแล้ว

เป็นจุดขายกันมานาน คำกล่าวว่า ทุนนิยมก้าวหน้าดีกว่าศักดินาล้าหลัง กับการปลูกฝังระบบนายทุนเข้าไปในหัวประชาชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ กับระบบศักดินาเพราะคิดว่ามันล้าหลัง พอเถอะครับ วันนี้ผมคงไม่มาเถียงว่าใครจะเป็นอำมาตย์ ใครเป็นไพร่ ใครดีกว่า ใครล้าหลังมันไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะยุคสังคมนิยม มนุษย์นิยม รัฐนิยม ปฏิบัตินิยม จนถึง ทุนนิยม ผมก็เห็นนักการเมืองดื่มไวน์ขวดละเป็นหมื่น กินอาหารมื้อละเป็นแสน ก็อดนึกถึงพี่น้องประชาชนที่ยากจนหลงเชื่อ ลุกขึ้นมาต่อสู้แทนพวกทุนนิยมพวกนี้ ทั้งที่ตัวเองก็แทบจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว...ถึงเวลาที่ประชาชนควรจะรู้เท่าทันนักการเมืองและถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองจะต้องเปลี่ยน Attitude ของการคิดแบบนักการเมืองเก่าๆเสียที เพราะเวลานี้ ไส้พุงของการเป็นนักการเมืองน้ำเน่านั้นมันส่งกลิ่นเหม็นกำจายไปทั่วจนคนเขารู้เท่าทันกันหมดแล้ว โดยเฉพาะภาพลวงตาแบบนนโยบายประชานิยม หรือแม้กระทั่งการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายซึ่งเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มนักการเมืองและนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เชิงต่างตอบแทนระหว่างกันและกัน พรรคการเมืองซึ่งต้องการทรัพยากรด้านการเงินและคะแนนเสียงสนับสนุนเพื่อให้ชนะเลือกตั้งจะรับการสนับสนุนด้านการเงินและการเป็นฐานคะแนนเสียงจากกลุ่มธุรกิจ เมื่อชนะการเลือกตั้งแล้ว พรรครัฐบาลก็จะดำเนินนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มธุรกิจที่เป็นพันธมิตรของตนเป็นการตอบแทน เช่นให้สิทธิพิเศษด้านภาษีอากร ยกเว้น หรือ ลดหย่อนภาษี สิทธิพิเศษด้านการค้า การสัมปทาน การประมูล การรับเหมาโครงการก่อสร้าง เป็นต้นลักษณะเฉพาะของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งของไทยที่ผ่านมาก็คือสส.หรือนักการเมืองจะทำหน้าที่ดึงเอาทรัพยากร งบประมาณ จากส่วนกลางไปไว้ในส่วนภูมิภาค ท้องถิ่นต่างๆ รวมทั้งเข้าตัวเองด้วย มากขึ้น ชาวบ้านตามท้องถิ่นต่างๆตระหนักว่าตนเองมีอำนาจต่อรองผลประโยชน์ทางวัตถุโดยตรงและโดยอ้อมจากศูนย์กลางกลางโดยผ่านสส.หรือนักการเมืองมากขึ้น โดยเริ่มจากเงินซื้อเสียงและนำไปสู่นโยบายประชานิยมโดยตรงในปัจจุบัน

ท่านต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เป็นนักการเมืองน้ำดีเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนให้ได้  สร้างความกนดีอยู่ดี ความสงบปลอดภัย ให้ความยุติธรรมให้กับสังคม ช่วยกันรักษาความชอบธรรมของคนไว้ให้ได้ เลิกอ้างว่าการเลือกตั้งคือการแสดงออกถึงการเป็นประชาธิปไตยเพราะการเลือกตั้งเป็นเพียงข้อกำหนดที่น้อยที่สุดของการเท่าเทียมกันในทางการเมืองเท่านั้น หากแต่กระบวนการประชาธิปไตยต่างหากคือสิ่งที่นักการเมืองควรให้ความใส่ใจควบคู่ไปกับนโยบายสาธารณะ อย่าได้คิด อย่าได้ทำ หรือชี้นำนโยบายแบบเดิมๆมามอมเมาประชาชนหรือชาวบ้านให้ต้องวาดฝันในอากาศอีกต่อไป เพื่อท่านจะได้เป็นนักการเมืองน้ำดี นักการเมืองยุคใหม่ นักการเมืองที่มีทัศนะวิสัยดีต่อเสถียรภาพของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่นักการเมืองที่หวังเพียงซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ามาโกงกินเงินแผ่นดินอีกต่อไป

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ชวนคนไทยมาปลูกต้นประชาธิปไตยกันเถิด

แนวทางการปรองดองเพื่อปรับระดับความเข้าใจในประชาธิปไตย(ของฉัน)
บทสรุปของสภาวะปัญหาต่างๆของประเทศไทย นับจากที่ได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก ในสมัยรัชการที่ 7 นั้น ในมุมมองของนักนิติฯอย่างฉัน มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก แต่พอกระโดดเข้ามาคลุกวงในแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่แก้ไข-สะสางปัญหาต่างๆเหล่านั้นให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้ ด้วยเพราะในภาพรวมของปัญหานั้น ฉันมองเห็นได้ไม่ยาก อาจเพราะลอยตัวอยู่ข้างนอก จากความเข้าใจแต่เดิมที่ว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูนนั้น ในมุมมองของฉัน มองว่ามันก็ไม่น่าจะผิด แต่มันก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด ในความรู้สึกของฉันเท่าที่รู้จักคำว่า ประชาธิปไตย ฉันอยากจะอธิบายว่า ประชาธิปไตย เป็นรูปแบบการปกครองแบบหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยเรานั้นมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ในส่วนนี้ ค่อนข้างชัดเจนเนื่องจากความเป็นมาของประเทศและประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ถึงการรบที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยก่อนต้องเอาเลือดเนื้อและชีวิต แลกและปกป้องมาพร้อมกับบรรพบุรุษไทยที่ต่อสู้มาร่วมกัน
แม้กระทั่งในสมัยรัชกาลที่7 ทราบว่าพระองค์ก็ได้เตรียมทดลองใช้ระบอบการปกครองรูปแบบนี้ เพื่อเตรียมพระราชทานให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว แต่ก็บังเอิญมาเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองโดยคณะราษฎร์เสียก่อน

ฉันก็ไม่รู้ว่าภาษาการปกครองนั้นต้องใช้คำว่าอะไร แต่สำหรับฉัน พฤติกรรมที่จะก่อให้เกิดกระแสการปรองดอง และการมีส่วนร่วมกันของคนในสังคมไทยนั้นควรต้องเป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกัน คือไม่ใช่ความขัดแย้ง และไม่ใช่การยึดอำนาจโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ความเข้าใจที่ว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูนนั้น สำหรับฉันเป็นความคิดที่ไม่ตรงต่อหลักการสักเท่าไหร่ เพราะถ้าฉันย้อนเวลากลับไปอดีตได้ ฉันถามตัวเองว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ที่จะปลูกต้นไม้ในวันนั้นให้ได้ต้นประชาธิปไตยได้อย่างไร

ข้อแรก หากฉันบอกว่า ประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมกัน ของวิถีและขอบเขตของประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองรูปแบบหนึ่ง ที่ยึดหลักความเป็นกลางอย่างเป็นธรรม นั่นคือหลักของธรรมาภิบาล หมายความว่า เมื่อคุณเป็นนักปกครอง วันนี้ คุณจะต้องปกครองและบริหารบ้านเมืองไทยนี้ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข สงบสุขและสันติได้ด้วยวิธีใดบ้าง คำตอบอาจตอบได้เป็นหางว่าว แต่มันจะต้องมีถ้อยคำสักคำหนึ่ง ที่กลั่นกรองแล้วได้ภาพรวมออกมาที่เหมือนกันคือต้องได้ต้นประชาธิปไตย --- เท่านี้คือเบื้องต้นที่ฉันจะพิจารณา โดยอาจจะไล่ไปตามลำดับความสำคัญเช่น ไม่คดโกงชาติไม่ทุจริต ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่และไม่ ถามนักปกครองกลับสักนิดว่า คำว่าบริหารท่านให้คำจำกัดความคำๆนี้อย่างไร ฉันคงจะไม่ตอบคำถามว่าต้องตอบอย่างไร แต่จะบอกว่า เมื่อจะปลูกต้นประชาธิปไตย ให้ได้นั้นคุณได้เพาะเมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยลงในหัวใจคุณหรือยัง ถ้าคุณตอบว่าเพาะแล้วนี้ไงเมล็ดรัฐธรรมนูน ถามว่าคุณจะมีทางปลูกเมล็ดรัฐธรรมนูญอย่างไรให้ได้ต้นประชาธิปไตย คำตอบคือไม่มี!
งั้นถ้าบอกใหม่ว่าจงปลูกเมล็ดพันธ์แห่งความเท่าเทียมกัน ลงในพื้นที่ในใจมนุษย์ประชาชนทุกคนในประเทศพร้อมกัน เช่นนี้ทำได้หรือไม่ เพราะเมล็ดแห่งความเท่าเทียมกันนี้เมื่อเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นต้นไม้ มีกิ่ง ก้าน ใบ ที่เราคนไทยสามารถเรียกชื่อว่าต้นประชาธิปไตย นั่นเอง

-บนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน เมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยจะเติบใหญ่ได้เต็มที่ นี่ต่างหากคือสิ่งที่ต้องปลูกลงไปในใจคนไทยทุกคน (ไม่เว้นแม้แต่พระมหากษัตริย์ที่พระราชทานให้ ) จากนั้นเมื่อต้นไม้ที่ชื่อประชาธิปไตยนี้เติบโต เบ่งบานในใจคนทุกคนแล้ว เราทั้งประเทศก็เอาต้นไม้ทุกต้นมัดใส่พานทองสักใบหนึ่ง ในพานทองนี้แหละคือต้นประชาธิปไตยของทุกคนในชาติที่เอามารวมกันเป็นหนึ่ง .....ในขั้นที่ 1

เมื่อมองลงมาถึงในขั้นที่ 2 เราย้อนกลับมาดูวิธีปลูกเมล็ดพันธ์ที่แต่ละคนมีอยู่ทุกคนๆละ 1 ว่าคุณผู้บริหารจะปลูกเมล็ดนี้ลงในใจประชาชนอย่างไร ให้ทุกๆดวงใจของคนไทยมีเมล็ดพันธ์ประชาธิปไตยอยู่ก้นหลุม
ทุกๆหลุม และเมื่อต่างคนต่างรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย จนเติบโตเป็นต้นประชาธิปไตยแล้ว ผู้บริหารก็เรียกประชาชนทุกคนมา เอาต้นที่ว่ามามัดรวมกันใส่พาน ทั้งมัดที่อยู่ร่วมกันในพานนี้เองคือมัดของต้นประชาธิปไตยของพวกคุณคนไทยทุกคน
ส่วนวิธีที่ใช้ปลูกตอนหย่อนเมล็ดพันธ์ลงก้นหลุม เอาดินกลบฝังแล้วรดน้ำ จนเสร็จเรียบร้อยนั้นถึงได้เรียกว่ารัฐธรรมนูน เพียงเท่านี้ คนไทยก็จะได้ต้นประชาธิปไตยมัดรวมกันใส่อยู่ในพานทองซึ่งได้จากการปลูกด้วยวิธีที่ชื่อรัฐธรรมนูน
(เชื่อว่าภายหลังพอคนพูดตัดคำออกไปสั้นๆเข้า จึงกลายเป็นประชาธิปไตยคืออะไร คนตอบก็ชี้ไปที่พานแล้วตอบว่านั่นไง เห็นเขาเรียกอะไรนะ รัด ถะ ทำ มะ นูน อะไรสักอย่างนี้เองแหละ !!! นะคะ 

ปัญหาที่แท้จริงในเวลานี้คือคนไทยทุกคนขาดความสามัคคี

พอดีไปอ่านบทความดีๆมา ผมเห็นว่าก่อนที่เราจะถกเถียงกันไปในเรื่องของการเลือกตั้งว่าจะทำการปฏิรูปก่อนหรือหลังการเลือกตั้งดี เหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวาน มันสะท้อนให้ผมเห็นว่าไม่ว่าจะเลือกตั้งก่อนปฏิรูปหรือปฏิรูปแล้วก็เลือกตั้ง คำถามในลักษณะนี้ ต่อให้เราเถียงให้ตาย รบกันเอง ฆ่ากันเองให้ตายไปข้างหนึ่ง มันก็ไม่มีทางสร้างหนทางที่จะเดินหน้านำพาประเทศไปสู่อิสระภาพและมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้สมดังเจตนารมณ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เหตุเพราะต้นตอของปัญหาอันแท้จริงที่กำลังสร้างความขัดแย้งในปัจจุบัน ถ้าเปรียบเป็นมะเร็งแล้วดูท่ามันจะลุกลาม ยิ่งรักษาก็ไม่หายขาดเป็นที่แน่นอน ผมได้ทบทวนดูอีกครั้ง ความคิดเห็นของผมในเวลานี้อาจจะไม่โดนใจใคร (อยากด่า ก็เชิญนะครับ แต่อย่าให้ผมได้ยินก็แล้วกันเพราะผมไม่ใช่ผูก ผมแค่อยากนำเสนอข้อเท็จจริงหลังจากจมปลักอยู่กับเหตุผลจอมปลอมมาหลายเดือนแล้ว นั่นคือ พวกเรากำลังหลงประเด็น คิดเกินความจริงไปข้อหนึ่งซึ่งเหมือนศรีธนญชัย ที่คิดจะเอาตัวรอด เพราะก็ได้ไปร่วมเดินประท้วง เป็นตัวตั้งตัวตีมาเหมือนกัน แต่พอดี เมื่อเช้าผมได้พบปะพูดคุยกับแม่ชีคนหนึ่งกับผู้โดยสารที่นั่งอยู่ใกล้กัน แม่ชีท่านว่า ไม่มีนักการเมืองคนไหนหรอกที่ไม่โกง แม้กระทั่งผมเองก็ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ เกเรกับงานก็บ่อย แต่ผมฟังแม่ชีพูดแล้วผมก็เห็นจริง แม่ชีบอกว่าคนที่อยู่ข้างบน เป็นหัวหน้า เขาอยากจะทะเลาะกันก็ปล่อยเขาไป ส่วนประชาชนคนไทยที่ยังต้องอาศัยอยู่ในเมืองไทยนั้น เรายังคงต้องอยู่กันอีกนาน
แม่ชีบอกว่าพวกเราอยู่ข้างล่างจะตีกันทำไมทั้ง 2 ข้าง จะเข่นฆ่ากันไปทำไม ทิฐิในตัวเราเองหรือเปล่า  เราคนไทยแตกแยกออกเป็น 2 ฝั่ง 2 ฝ่าย ต่อสู้เข่นฆ่ากันเอง ถกเถียงกัน เกือบทุกที่ของประเทศ บอกตามตรงผมไปไหนไม่สะดวกใจเลยครับ หูมันคอยระแวงว่าคนที่เดินข้างๆ สวนไปสวนมาเขาสีไหนกันแน่ แต่แม่ชีให้คำแนะนำว่า เราประชาชนผู้อยู่ข้างล่าง พวกเรายากจน และไม่เคยได้มีใครคิดจะลุกมาเป็นผู้นำแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง แม่ชีพูดว่า เราเป็นชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ก็จับมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นด้วย 2 มือของเราเองทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ต้องทะเลาะวิวาทตามเขาข้างบนไป ไม่ต้องทำผิดกฏหมาย ซึ่ง ณ เวลานี้ผมมองว่าเป็นโอกาสดีเพราะเราแบ่งข้างกันชัดเจน เลือกฝ่ายที่ชอบและก็เริ่มหาวิธีสกปรก ใส่ความกันไปมา ทำได้ตั้งแต่ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เกิดความระแวง เดินไปไหนบนถนนไทยไม่แน่ใจว่าจะมีใครมาตีหัวกบาลตอนไหน และเมื่อเกิดความสูญเสียสิ่งที่ทำได้คือยกย่องเขาให้เป็นวีรชนคนกล้าที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมถามตัวเองหลายครั้ง ว่าชัยชนะที่รออยู่คืออะไร และมันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองของเราไดเไหม รอยยิ้มสยามจะกลับสู่ประเทศไทยได้หรือไม่ บังเอิญผมได้อ่านบทความเรื่องหนึ่ง เขาเขียนถึงสถานการณ์บ้านเราว่าปัญหาที่แท้จริงในเวลานี้คือคนไทยทุกคนนี่แหละครับเพราะกฏหมายที่มีการบังคับใช้อยู่ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ประเทศไทยกำลังฉุดกระชากลากถูกันลงเหว และการเปลี่ยนแปลงมันก็อาจจะเกิดโดยฝ่ายที่ฆ่าคนไทยได้เยอะที่สุดเป็นผู้ชนะ 


กปปส.ใช้วิธีสันติอหิงสา ชุมนุมมา 3 เดือนแล้ว สิ่งที่สูญเสียไปมันกลายเป็นชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เขายังไม่เข้าใจดีว่าประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร สุดท้ายคนไทยก็ตอบไม่ได้สักคนว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร ผมเองก็ชักไม่มั่นใจแล้วเหมือนกัน เราต่างสูญเสีย และ หลังพิงฝา จะด้วยเพราะว่าความต้องการของทักษิณ ผู้เป็นนักโทษหนีคดีที่หนีไปนอนกระดิกเท้าอยู่ดูไบ นอนดูพวกเราคนไทยฆ่ากันเอง ความฉิบหายก็เกิดกับไทยทั้งนั้น ผมยังไม่ได้หมายถึงการคอร์รัปชั่นที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำจัดแบบขุดรากถอนโคนให้หมดไป ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ก็ต้องให้เวลากับมัน


...แต่คำถามที่ผมสงสัยก็คือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะแล้วมันตอบโจทย์ให้กับประเทศไทยได้หรือไม่ เพราะพอฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาลอีกฝ่ายหนึ่งก็จะเป็นอันธพาลไม่มีวันเลิก ผมอยากขอให้พี่น้องทบทวนสักนิดถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองในเวลานี้ เรากำลังก้าวไปสู่ความเป็นรัฐล้มเหลว หรือรัฐล้มละลาย ซึ่งแน่นอน มันเป็นคำตอบที่ทำให้เกิดชัยชนะ แต่ผมมองว่า คำๆนี้ละครับที่เราต้องรีบทำด่วนที่สุด พอดีไปอ่านบทความดีๆมา ผมเห็นเข้าแล้วเริ่มมองเห็นหนทางที่ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง ยาวซักหน่อย แต่ขอท่านอดทนอ่านดูสักเล็กน้อยครับ

ท่านทั้งหลายคงได้ตระหนักดีกันแล้วว่า ปัญหาของประเทศไทยของสังคมไทย ที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะเป็นต้นเหตุของความยากจน นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด และในที่สุดก่อให้เกิดการเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศไทย โดยมวลมหาประชาชน หรือปฏิวัติประชาชน หรือประชาภิวัตน์ สุดแต่จะเรียก

ทั้งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ยังเป็นปัญหาสำคัญสูงสุดในการบ่อนทำลายความสงบสุขของชาติทำลายศีลธรรม ความถูกต้องดีงาม และความสามัคคีของคนในชาติ ขณะนี้สังคมไทยกำลังถูกจับตามองของสังคมโลกว่าเป็นประเทศที่มีการทุจริตเป็นอันดับต้นๆ ของโลก หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้โดยไม่มีมาตรการทางกฎหมายทางสังคม มาป้องกันและปราบปรามอย่างเด็ดขาด จริงจังแล้วก็ไม่แน่ว่าในที่สุดอาจตกเป็นรัฐที่ล้มเหลว (Failing State) หรือเป็นประเทศที่ล้มละลาย (Bankrupt State) ก็ได้

นั่นหมายถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ เป็นมหันตภัยของชาติ

นักปราชญ์ท่านได้กล่าวไว้ว่า บุคคลเกิดมาอาจโชคร้ายเพราะเหตุ 2 ประการคือ

ประการหนึ่งคือ เกิดในประเทศที่มีแต่การสงคราม

ประการหนึ่งคือ เกิดในประเทศที่ผู้ปกครองฉ้อฉลทุจริต เข้าไปในป่าที่มีเสือดุร้ายก็ไม่แน่ว่าเสือจะกัดหรือไม่ แต่อยู่ในประเทศที่มีผู้ปกครองฉ้อฉล มันจะกัดเอาอย่างแน่นอน กล่าวคือร้ายยิ่งกว่าเสือนั้นเอง

อย่าปล่อยให้คุณภาพชีวิต (quality of Life) ของคนไทยเพื่อนร่วมญาติต้องตกต่ำ หรือต้องลำบากยากไร้ หรือนำไปสู่สงครามกลางเมือง (Civil War)

ขอได้โปรดมาร่วมกันใช้สติปัญญา ศึกษาค้นคว้า หรือวิจัยเพื่อหาหนทางแก้ปัญหาโดยเร่งด่วนที่สุดก่อนจะสายเกินกว่าจะแก้ไขได้ ก่อนสังคมไทยจะเสียหาย คนในชาติแตกความสามัคคีกันยิ่งกว่านี้

เท่าที่ปรากฏในเบื้องต้นพบว่ามาตรการทางกฎหมาย การเมืองและศีลธรรมทางสังคมมีความบกพร่องหลายประการ จนกลายเป็นจุดอ่อนและควรได้รับการแก้ไขโดยด่วน กล่าวคือ
มาตรการทางกฎหมาย

1.หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตของชาติปฏิบัติงานล่าช้ากรณีนักการเมือง หรือข้าราชการทุจริตในเรื่องร้ายแรง วงเงินสูง กว่าจะรู้ผลคนทั้งหลายก็ลืมเลือนแล้ว ต้องแก้ไขให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีฉุกเฉินและรู้ผลภายในหกเดือน เป็นต้น ทั้งต้องเป็นหน่วยงานเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนโดยแท้จริง

2.ต้องแก้กฎหมายเพิ่มโทษฐานคอร์รัปชั่นให้เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ยี่สิบปี ถึงประหารชีวิต และกำหนดอายุความไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีเช่นเดียวกับประเทศจีน

3.ต้องแก้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ราษฎรทั่วไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีทุกจริตคอร์รัปชั่นได้โดยถือว่าเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายด้วย

4.ต้องแก้กฎหมายให้ความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่นให้เป็นมูลฐานความผิดหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินด้วย เพื่อให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินได้ทันที ป้องกันการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินระหว่างคดีดังเช่นได้เกิดขึ้นแล้วในหลายคดี

5.ต้องมีกฎหมายบัญญัติให้ข้าราชการและข้าราชการการเมืองทุกระดับชั้นแจ้งบัญชีทรัพย์สินตั้งแต่เข้าสู่ตำแหน่ง และทุกสิบปี ถ้าหากมีใครมีรายได้เพิ่มมากพิเศษก็ต้องแจ้งทุกครั้ง เพราะปัจจุบันเก็บข้อมูลได้มากไม่สิ้นเปลืองกระดาษดังแต่ก่อนแล้ว

มาตรการทางสังคม

1.จะต้องให้คณะรัฐมนตรีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาหรือสาบานตนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นก่อนเข้ารับหน้าที่ แม้จะแลดูล้าหลังไปบ้างก็ตาม

2.น่าจะต้องปรับปรุงตำราเรียนให้นักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรียนวิชาความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ ถึงผลเสียของการซื้อสิทธิขายเสียงว่าในที่สุดประเทศชาติได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด เพราะบางส่วนอาจไม่ได้เรียนมัธยมต่อไป

3.น่าจะต้องสร้างระบบคุณธรรม ศีลธรรม ให้ยกย่องเชิดชูผู้นำต้นแบบ (Role Modal) ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชั่น ไม่คดโกง ฉ้อฉล ให้เป็นต้นแบบของสังคม ในทำนองรัฐบุรุษ (Statesman) เหมือนเช่นประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพื่อลบล้างความคิดว่า ?โกงก็ไม่เป็นไร ขอให้เราได้ส่วนแบ่งบ้างก็แล้วกัน? เป็นต้น

โปรดช่วยกันคิด โปรดช่วยกันทำ โปรดอย่าได้นิ่งเฉย เพื่อประเทศไทย เพื่อสังคมไทย และเพื่อเพื่อนร่วมชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกๆ คน จงมาช่วยกันเถิดครับ


***ขอบคุณบทความอ้างอิง...ฐนยศ คีรีนารถ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

***ผู้เขียนไม่ได้เขียนบทความนี้นะครับผมไม่ทราบใครเขียนเก็บไว้เป็นหลักฐาน...บนวิถีทางความเปลี่ยนแปลง

คำถามคาใจ....ถึงผู้ยังฝักไฝ่เสนา-อำมาตย์ 

- ถึงวันนี้ ผมได้ลิ้มรสชาติของประชาธิปไตยที่บรรดาที่เรียกตัวเองว่าไพร ต่อสู้-ดิ้นรน เรียกร้องให้ได้มา โดยนับแต่รัฐประหาร ปี 2549 เป็นต้นมา สิ่งที่ผมปฎิเสธตัวเองไม่ได้นั้นคือความจริงที่ว่า..ในความหมายของคำว่าประชาธิปไตยแท้จริงแล้วหมายความว่าอย่างไร จากที่ผมเดินตามหลังนักประชาธิปไตยรุ่นเก่าก่อน ได้เห็นการต่อสู้ ต้อต้าน เรียกร้องให้ได้ประชาธิปไตยมา ถึงกับยอมเสียเลือด เสียเนื้อ เพื่อเป็นนักสู้แห่งวิถีประชาธิปไตย ผมต้องยอมรับครับผม ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ ฮึกเหิม และมีพลังอำนาจ ผมในวันนี้ก็ยอมตายได้เพื่อคำว่าประชาธิปไตย 
- วันนี้ก็ตั้งใจจะไปร่วมกลุ่มกับเขา แต่ติดภาระหน้าที่ส่วนตัวจนนอนเกือบเช้า ตื่นมาก็งัวเงีย จะไปดีไม่ไปดีกลัวที่บ้านดุว่าอยู่ไม่ติดบ้าน 
- ภาพนักสู้แห่งประชาธิปไตยลอยวนเวียนตรงหน้า เพราะที่ผ่านมาผมเป็นประชาชนธรรมดา กินข้าวแกงมื้อละสิบยี่สิบบาท บ้านก็อยู่ในดงสลัม สภาพแวดล้อมมีแต่อาชญากรรมทั้งนั้น เรียกว่าผิดศีลกันได้ทุกข้อ รวมถึงข้อกำหนดตามกฎหมายด้วย ผมกินข้าววัดมาตั้งแต่เท่าลูกหมา เรียนโรงเรียนวัด เดินตลาดนัด ตรอกวัดกับทด(ประตูน้ำ)เป็นสถานที่อโคจรของผม ผมไม่ได้รับอนุญาติให้ไปโดดน้ำเล่นกับเพื่อนข้างนอก ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปดูหนังขายยา หนังกลางแปลง ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นของเล่นแม้แต่ตุ๊กตาสักตัว เพื่อนเล่นผม คือกระดาษ ปากกา อยากได้อะไรก็วาดเอา นึกเอง หรือไม่ก็ปั้นเอา ดินเหนียวครับ หรือดินน้ำมันก็หรูแล้ว ผมได้รับมอบหมายจากผู้ผกครองว่าจงเฝ้าบ้าน ไม่มีอะไรก็นอนหลับอยู่ในบ้าน เพื่อนสมัยประถมที่เรียนด้วยกันมา วัดรังสิตนี้เองครับ จบป.6 ก็แยกย้ายมีครอบครัว มีเหย้าเรือนกันตั้งแต่นั้น เดี๋ยวนี้กระเตงลูก ร้องจ้ากันทุกคน 
ทั้งรุ่น สามห้องเรียน เหมือนว่าจะมีเรียนต่อกันไม่กี่คน ที่เหลือก็รับจ้างแบกหาม เป็นกรรมกร ติดยา ขายยา เก็บผักเก็บหญ้า ประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวไปตามมีตามกรรม ไม่ค่อยได้ดีหรอกครับ 
- ผมที่ยังอยู่รอดนั่งกินข้าว ดูทีวี ใช้ชีวิตปกติ ได้นี้ก็ต้องขอบคุณหนังสือ+ตำราที่กองเป็นพะเนินในห้องหลังบ้าน นั่นเป็นสมบัติทั้งหมดที่ผมมี ผมหวงห้องผมมาก ไม่ยอมให้ใครเข้าห้อง เก็บตัว ชอบดับไฟอ่านหนังสืออยู่มืดๆ จะมีเสียงบ้างก็คงเป็นเสียงร้องเพลงตามประสา หรือไม่ก็เสียงวิทยุ" การศึกษา"สำหรับเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีสตางค์มากมาย มันสำคัญและยิ่งใหญ่มากมายขนาดไหน สำหรับคนมีสตางค์ เรียบจบโท จบตรี จบด็อกเตอร์คงจินตนาการไม่ได้ แต่คุณเชื่อเถอะการศึกษาเปลี่ยนแปลงคนได้ทั้งชีวิต !! 
- เด็กๆของคุณจะรักเรียน ไม่รักเรียน ก็ดีแต่เขาก็มีสังคมให้ฝึกฝน ทดลองอยู่ ทดลองใช้ชีวิต ได้เรียน เขียน อ่าน และฟัง จากเสียงเจี๊ยวจ้าวในโรงเรียนนี่แหละครับ มันก่อเกิดอุปนิสัยได้ ก็มันโดนบังคับให้อยู่อย่างนั้นตั้ง หกปี ไม่เกิด ไม่มี ก็เลี่ยงไม่ได้ การเก็บตัวทำให้การใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เป็นไปอย่างทรมาณมาก มันเจ็บปวดเมื่อต้องเข้าสังคม ผมเห็นมาตรการยกเลิกเรียนฟรี แล้วผมถึงกับถอนใจเฮือก นั่นมันสวรรค์ของผมเลยนะคุณรู้มั้ย การได้เรียนหนังสือฟรีถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ แล้วถ้าคุณมีความสามารถที่จะทำได้ สร้างกุศลเหล่านั้นได้ คุณจะใจร้ายไม่ให้อีกหรือครับผม ทุกวันนี้ ผมยอมรับว่าเพื่อนฝูงในโลกไซเบอร์เป็นอะไรที่ผมขาดไม่ได้ เหมือนผมได้มาสร้างโลกใบใหม่ของตัวเองไว้ที่นี่ ด้วยสองมือเปล่า บวกสมองน้อยๆ เรียนแค่เอาอยู่นั่นแหละครับ แต่มันทำให้ผมยิ่งเก็บตัว หมกมุ่นอยู่กับโลกที่ตัวเองสร้างในโทรศัพท์ แท็บเล็ตพีซี ไม่ใช่คำตอบของทุกปัญหา ของการศึกษาเด็กไทยหรอกครับผม ผมการันตี 101% อุปกรณ์ นวัตกรรมที่คนเพียรสร้างขึ้นให้โลกทันสมัยนั้น ไม่อบอุ่นเหมือนวงแขนและอ้อมกอดคนข้างๆหรอกครับ เทียบกันไม่ได้เลย แค่คุณพ่อแม่ให้กอด ให้หอม มีเพื่อนให้เดินจับมือ เคียงบ่า เคียงไหล่ ความรู้สึกภายในที่สำผัสได้มันแตกต่างกันมากทีเดียว เมื่อวันนี้คนยังมีศาสนา แต่พยายามทุกวิถีที่จะบูชาวัตถุ สิ่งปลูกสร้าง รูปเคารพ มันต่างจากงมงายแค่เส้นด้ายบางๆเองครับผม ถ้าตาคุณไม่ดี มองไม่เห็น เผลอสติ จบเห่เลยนะครับ จากงมงายก็บ้าน่ะสิครับผม ผมเป็นเหมือนตราบาปของตนเอง เพราะผมดูแลของผมมากับมือ เป็นรักแท้ของผมแต่ผมดูแลไว้ไม่ได้ ผมไม่อยากอ้างหรือกล่าวหาสังคมหรอกครับ เพราะมันเป็นสิงแวดล้อม ก็เปรียบเสมือนธรรมชาติที่เลี่ยงไม่ได้ เช้าตื่นลืมตาคุณก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมัน แต่ผมชอบโลกของผม มันเงียบสงบ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีใครทะเลาะตบตีกัน ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีการปกครอง ไม่มีเพื่อน มีแต่ความเหงา กับความเงียบ ตลอดมาสามสิบกว่าปี มองผม...แล้วอยากให้ลูกหลาน บุตรชาย บุตรสาว ทายาทตัวน้อยๆของคุณ แบกโลกไว้ทั้งใบ จมอยู่กับความทุกข์ที่มืดและเหงา ไม่มีใครเลยแม้แต่ตัวเอง เป็นเพื่อน ร่วมทุกข์ร่วมสุข จับมือตัวเอง นอนกอดตัวเอง ไม่ใช่จินตนาการนะครับ ชีวิตจริง ตัวเป็นๆ คุณยอมรับที่จะให้มันเกิดกับเด็กๆของคุณได้จริงๆหรือ 
- ตราบใดที่คุณยังต้องเวียนว่ายตายเกิดใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ยังต้องหาเลี้ยงตนเอง ประกอบอาชีพแลกข้าวปลาอาหาร ต้องทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเป็นสังคม คุณหยุดใช้จินตนาการ ผมกล้าพอที่จะท้าทาย ไม่มีใครเข้าถึงโลกมืดๆดำๆใบนั้นที่ผมพยายามเล่าให้ฟังหรอกครับผม ต่อให้คุณเรียกตนว่าอัมมาตย์หรือไพร่ ผมกล้าเอาศีรษะ เป็นเดิมพัน แถมฟันธง101 % 
- ถามคุณวันนี้กล้าพอที่จะเรียกตัวว่าไพร่-อัมมาตย์ เรียกตนว่าเป็นผู้กล้าแห่งวิถีประชาธิปไตย ต่อสู้ รบราฆ่าฟันกันเองเพื่อวิถีแห่งระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง พรรคพวกตัวเอง กลุ่มวาทะแห่งคมหอกคมดาบของตัวคุณเองได้อย่างเต็มภาคภูมิใจอีกหรือไม่ ถ้าผมกล้าพอที่จะยืนยันและยอมรับกับพวกคุณว่าผมคือตัวอย่าง 
ชีวิตที่ดีที่สุดของสังคมไทยแล้ว ยังมีชีวิตที่บัดซบกว่านี้อีกมากในสังคมไทย บัดซบชนิดที่ว่าพวกคุณจินตนาการไม่ถึงเลยก็ว่าได้ สังคมที่ยังมีการต่อต้านอำนาจรัฐ สังคมประชาธิปไตย สังคมแห่งโลกใหม่ คุณมองเห็นความมึดบอดในใจบ้างหรือไม่ บทเรียนคำคม ถ้อยวาจาสุภาษิตที่อ่านแล้วฟังดูดี เตือนสติคนที่เห็นเต็มไปหมด ทุกหลักศาสนา ปรัชญา และตรรกะ รวมถึงศาสตรทุกแขนงด้วย คุณจะหยิบยกมาวางไว้หน้าเพจ แต่งหน้าบ้านในเฟสบุ้คให้ดูดีอย่างไร ก็เปลี่ยนคนในสังคมไม่ได้หรอกครับถ้าเขาไม่เคยเปิดใจ รับมันไว้ในใจ เข้าใจถึงคุณค่าและประโยชน์ของถ้อยคำแต่ละถ้อยคำในประโยคเหล่านั้นอย่างแท้จริง ได้ลิ้มรส สำผัสความบัดซบทางความคิดของการมีชีวิตในสังคมที่ล้มเหลวบนโลกใบนี้ ที่มีอยู่จริง ในขณะที่พวกคุณหัวเราะมีความสุขกับสวรรค์ วิมานทางความคิดแห่งบัณฑิต และผู้ปัญญาชนทั้งหลาย ความทุกข์ที่เลวร้ายบัดซบที่สุดที่ยังมีในโลกใบนี้จริงจินตนาการไม่ได้หรอกครับ

IF YOU ARE NOT PART OF THE SOLUTION YOU ARE PART OF THE PROBLEM

จดหมายจากอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงนายกรัฐมนตรีเนื่องในวันปีใหม่ และคริสตมาส พร้อมข้อเสนอ 5 ประการ รวมถึงการเกี๊ยเซี๊ยะที่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม นิติรัฐ เสรีภาพ เสมอภาค การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีหลักสากล เป็นอารยะ และเป็นประชาธิปไตย และยึดมั่นในเสรีภาพ และความเสมอภาค และการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 -----------------------------Open Letter to Premier Ms. Yingluck Shinnawatra and Foreign Ministerจดหมาย (ใหม่) ฉบับที่ 4 (25 ธันวาคม 2554/2011)เรื่อง ขอเสนอแนะวาระสำคัญ 5 ประการเรียน นรม. (หญิง) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ รมต. กต. (ผ่านมิตร และสื่อมวลชนกระแสหลัก และกระแสรอง) เนื่องในวารดิถีวันขึ้นปีใหม่ และวันคริสตมาส ขอส่งความปรารถนาดีมายัง ฯพณฯ นรม. (หญิง) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ รมต. กต. สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กับคณะ ครม. ขอให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เพื่อปฏิบัติงานให้กับ “ชาติและราษฎรไทย” ของเรา และขอเสนอแนะวาระสำคัญ 5 ประการ ที่สมควรจะได้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (1) ขอให้เพิ่มวันหยุดราชการ เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางศาสนาและลัทธิความเชื่อหลัก ของประชาชนของประเทศของเรา คือ วันคริสตมาส วันฮารีรายา วันฮินดู และวันตรุษจีน ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นอารยะในสากลโลก และประเทศอาเซียนของเรา เช่นเดียวกับ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ที่กำหนดให้มีวันหยุดครบทุกศาสนาและความเชื่อหลัก (รวมทั้งวันวิสาขะบูชา) (2) ขอให้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีหลักสากล เป็นอารยะ และเป็นประชาธิปไตย และยึดมั่นในเสรีภาพ และความเสมอภาค กับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดำเนินการแก้ไขบทบัญญัติ ที่เกี่ยวกับเรื่องของคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 (3) ขอให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อของประเทศ จาก “ราชอาณาจักรไทย” เป็น “ราชอาณาจักรสยาม” (Kingdom of Thailand – Kingdom of Siam) เพื่อให้ “สยาม” นั้นเป็นนามของประเทศหรือดินแดน ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และลักษณะของความหลากหลายของประชาชนหรือคน ที่มีชาติพันธุ์ กับภาษาและวัฒนธรรม ที่เป็นทั้ง “ไทย ไท/ไต ลาว เขมร มลายู คนอีสาน คนเมือง พวน ผู้ไท ขึน ยวน ยอง ลื้อ มอญ กูย ลั๊วะ/ละว้า เวียด ฮ่อ จีน แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ แคะ จาม ชวา ซาไก มอแกน ทมิฬ ปาทาน เปอร์เซีย อาหรับ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า กำหมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ บรู โอรังลาอุต ฝรั่ง (ชาติต่างๆ) แขก (ชาติต่างๆ) ลูกครึ่ง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ” กว่า 50 ชนชาติและภาษา (4) ขอให้ดำเนินนโยบายการต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญต่อประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิด และองค์กรอาเซียน สร้างความสัมพันธ์อันดีเป็นพิเศษกับลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย และเน้นวาระทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญต่อสตรีเพศ (women’s agenda) พร้อมทั้งดำเนินการวิ่งเต้น เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ จากพระมหากษัตริย์กัมพูชา หรือขอนิรโทษกรรมจากรัฐสภากัมพูชา ให้กับนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในกรุงพนมเปญมาเกือบจะครบ 1 ปีแล้ว (5) ขอให้ดำเนินการ “เกี้ยเซี้ย” สมานฉันท์ สามัคคี ปรองดอง ขึ้นในชาติ ระหว่างคนเสื้อสีต่างๆ (เหลือง-ชมพู แดง ฟ้า เขียว หลากสี) โดยคำนึงถึงหลักของความยุติธรรม นิติรัฐ เสรีภาพ เสมอภาค โดยมีกระบวนการที่เป็นสันติวิธี เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง การใช้อาวุธ อันจะนำไปสู่การนองเลือด และ/หรือ “กาลียุค”จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ข้าราชการบำนาญ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย (วิชา) ธรรมศาสตร์ (และการเมือง)หมายเหตุถ้าท่านไม่เป็น ส่วนหนึ่ง ของการแก้ปัญหาท่านก็เป็น ส่วนหนึ่ง ของปัญหาIF YOU ARE NOT PART OF THE SOLUTIONYOU ARE PART OF THE PROBLEMถ้าท่านต้องการรักษา สถาบันกษัตริย์ คู่กับประชาธิปไตย และสันติสุขเพื่อชาติ และราษฏรไทย เจ้าของแผ่นดินนี้ท่านต้องปฏิรูปกฏหมายหมิ่นฯ มาตรา 112IF YOU WANT TO PRESERVE THE MONARCHY, DEMOCRACY, AND PEACEFOR THE NATION AND THE PEOPLES OF THIS LANDYOU MUST REFORM THE LESE MAJESTE LAW: ARTICLE 112

ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่

เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต
- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ ( ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ ( เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้.
By: Goody-Goody Bring Good Luck

เปลี่ยนอะไร....อะไรเปลี่ยน

ถึงพี่คนดี...ผมขอโทษถ้าจบประโยคนี้ผมจะกลายเป็นคนก้าวร้าวในสายตาใครต่อใคร แต่ขอให้ผมได้มีระบาย ความข้องใจคนโง่อย่างผมเถอะครับ เผื่อมันจะทำให้ผมคลายใจลงบ้าง มองตามวิสัยทัศน์ที่อาจจะแคบของผมนั้น คนไทย 50% กำลังเป็นเหมือนมังกรไม่มีหัว เหมือนมดที่ไม่มีฟีโรโมน คนๆหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างไรครับผม ถ้าเขาไม่เข้าใจหรือเข้าใจคำว่าเปลี่ยนผิดไป เพราะผมดูมาตั้งนานแล้ว เห็นจะมีก็แต่พี่คนดีที่พยายามปรับและเปลี่ยน อาจจะโดยการวิเคราะห์ประสบการณ์เอง และหรือฟังคำแนะนำจากผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีการขับเคลื่อนจริงอยู่แค่ไม่กี่สิ่งอย่างเองครับผม สำหรับผมมองที่พี่คนดีเป็นหลัก เพราะผมเห็นความพัฒนาครับที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่พี่คนดีกำลังทำ กำลังปรับปรุง แต่อีกหลายๆคนที่ผมคงต้องขออนุญาตใช้คำว่าผิดหวังครับผม ผมอาจจะคาดหวังอะไรที่มันยิ่งใหญ่ชัดเจนเกินไป แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้มันไม่ได้กระผีกเสี้ยวของทางที่มันควรจะเป็นในสิ่งที่ผมหวังไว้เลย เพราะสติปัญญาผมน้อย ผมเรียนมาน้อย จนพูดได้ว่าผมไม่รู้อะไรเลย ผมเริ่มจะเชื่อเสียแล้วว่าคนไทยลืมง่าย ผมไม่เข้าใจว่าเปลี่ยนของผมกับคนอื่นนั้นเหมือนกันบ้างหรือเปล่า เรามีความคิดที่เปลี่ยนตัวเองโดยการพัฒนาหรือเปล่า หลายๆโครงการ หลายๆกลุ่ม ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่ละกลุ่มแต่ละโครงการล้วนมีจุดประสงค์ที่ดีเลิศ มองเห็นอนาคตของโครงการทั้งนั้น แต่ ณ จุดหมายปลายทาง หลายคนคงจะบอกว่าหลายคน หลายทาง ต่างคนต่างแยกกันทำ เข้าโค้งสุดท้ายค่อยมารวมกันอีกทีเพื่อความเป็นเอกภาพ แต่ครั้งนี้ การเมืองบ้านเราจะนอนคอย คอยรอความเป็นเอกภาพเมื่อเข้าโค้งสุดท้ายไม่ได้แล้ว เมื่อเรากำลังต่อสู้อยู่ในสงครามมวลชน ความยิ่งใหญ่ของมวลชนจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเรายังเดินไปด้วยกันแบบนี้ จับตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็เมาท์ เมาเมนต์กันอย่างไม่ลืมหูลืมตา สื่อก็กระหน่ำนำเสนอข่าว คนเสพก็เมาท์กัน สนุกใหญ่ เช้าชาม-เย็นชาม อย่างนี้หรือครับคือการเปลี่ยนแปลง ผมคงจะผิดหวัง ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ความเปลี่ยนที่กลายเป็นกระแสให้คนเมาท์กันสนุกปากนั้น สำหรับผม..มันไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลง เพราะมันไม่ก่อให้เกิดความพัฒนา...
พี่คนดีครับ ความสงสัยของผม มันก็คงเป็นแค่เพียงสายลมที่พัดผ่านไป ไม่มีความหมายอะไรเลยเหมือนที่ผ่านมาใช่มั้ยครับผม ผมมั่นใจว่าคงต้องมีผู้มีปัญญาอีกหลายท่านที่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังถาม และยังมีสื่อจำนวนไม่น้อยที่ทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว สำหรับผมนะครับ ถ้าความสงสัยของผมรบกวนท่าน ผมต้องขออภัยไว้ตรงนี้ด้วยครับผ
/มิก

ผมเชื่อมั่นว่าคนไทยทุกคนตอบได้ว่าทำอย่างไร...ให้คนไทยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

เคยเป็นไหม ที่คุณได้ยินเสียงร้องตะโกนดังมาจากหัวใจของคุณ  เหมือนขณะนี้ ที่ผมกำลังรู้สึก มันกดดันหัวใจผมมานานเกินพอแล้ว เป็นโอกาสดีแล้วที่วันนี้ "กฏหมาย." ได้ช่วยหยุดความแตกต่าง ช่องว่างที่กัดกินใจคนไทยทั้งหลายมาพอสมควรแล้ว
วันนี้ผมขอให้คนไทยทุกคน ใครที่เดินช้าขอให้รู้ว่าคนข้างหน้ากำลังรอ  ส่วนคนที่เดินเร็วก็ขอให้หยุดรอกันสักนิดครับ
แผ่นดินของเรามีคนไทยมากกว่าหกสิบล้านคน จะวิ่งไปให้ไวและพร้อมเพรียงกันคงทำไม่ได้ ต้องมีแตกแถว แตกแนวล้มไปบ้าง เร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่กติิกามีว่า ประเทศไหนถึงเส้นชัยคือผู้ชนะ  หนึ่งวันที่เหลือนี้ขอให้เราคนไทยหยุดเพื่อรอกันและกัน  เพื่อความพร้อมเพรียงกันของคนไทยทั้งชาติครับ ถ้าถามว่าพร้อมแล้วจะทำอะไร  ยังครับ เราจะทำพรุ่งนี้   แต่วันนี้ขอให้เราหยุดรอกัน กระชับวงแขนคนข้างๆให้แน่น จับมือเพื่อนข้างๆใหม่ครับ สูงตำ่ไม่เป็นไรเดี๋ยวปรับได้ภายหลังครับ ผมขอเรียนให้ทราบว่าข้างหน้าคือเส้นชัยครับ  เราจะไปด้วยกันเราต้องไปด้วยกันครับ  ไม่ว่าคุณเป็นใครมีอดีตอย่างไรไม่สำคัญแล้วครับ จา่กนี้เราจะต้องเดินไปด้วยกันครับ
ผมบอกได้แค่ว่าข้างหน้าคือเส้นชัย แต่ต้องไปด้วยกัน ถ้าคำถามของผมที่ว่า จะดีกว่าไหมถ้าคนไทยอยู่อย่างสันติภายใต้ธงค์ไตรค์ผืนนี้้
ถ้าคุณเห็นด้วย ...พรุ่งนี้เราจะเดินหน้าต่อ 
หลังจากจุดนี้,วันนี้  ผมมั่นใจในสติปัญญาของท่าน   ท่านรู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร  ทำตามคำตอบที่หัวใจท่านตะโกนครับ
ถึงจะเก็บไว้ในใจไม่เป็นไร   ขอแค่ทำในสิ่งที่ท่านได้ยินจากหัวใจ  ไม่ต้องฟังใครอีกแล้วครับ 
พรุ่งนี้ออกทำไปทำในสิ่งที่ใจคุณเรียกร้องครับ 
พรุ่งนี้ไปทำหน้าที่ของคนไทยตามที่หัวใจคุณปรารถนาครับ
ผมเชื่อมั่นว่าคนไทยทุกคนตอบได้ว่าทำอย่างไร...ให้คนไทยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ  
           

"ประเทศไไทย...ไม่รักก็อย่าทำร้าย" ขอระบายหน่อย


          ขอบคุณทุกท่านที่แอดผมเป็นเพื่อนนะครับ อีกวันเดียวเราก็ต้องไปใช้สิทธิ์ของเรากันแล้ว ตอนนี้ผมคงปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของท่านเอง คิดให้ยาวๆ สำหรับเพื่อนที่คิดโหวตโน คุณยังมีเวลาแม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายก่อนลงปากกา อย่าให้ประชาธิปไตยในมือท่านสูญเปล่า โดยการไม่ใช้สิทธิ์ออกเสียง เพราะเรียนตรงๆผมเบื่อมากมายกับการที่มีกลุ่มคนมารวมตัวกัน แบ่งแยกเป็นสีนั้นสีนี้ ออกมาเรียกร้องหาประชาธิไตย ก็ตอนนี้มันอยู่ในมือแล้วใช้ให้เป็นประโยชน์สิครับผม
          ไม่มีใครที่จะเพรียบพร้อมไปได้หมดทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวผมหรือตัวคุณเองก็ตาม การที่เราสามารถวิจารย์สิ่งที่ผู้อื่นเป็นคนตัดสินใจ เชื่อไหมครับมันง่ายกว่าการที่คุณต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ณ เวลานั้น 100 เท่า 1000 เท่า
           ทุกวิกฤติที่คุณอภิสิทธิ์ก้าวผ่านมันมา 2 ปี พร้อมกับรัฐบาลชุดนี้ ผมมองว่าเป็นนายกและรัฐบาลที่มีความสามารถไม่น้อยไม่ด้อยไปกว่าใครหรอกครับผม ถ้าจะกล่าวอ้างว่าคุณอภิสิทธิ์ทำงานเหมือนเด็ก ช้าบ้างดีแต่พูดบ้าง ผมว่าก่อนที่จะกล่าวหาท่านอย่างนั้น ลองมองตัวเองดูตัวเองสักนิดดีมั้ยครับผม ว่าตัวเราสามารถทำได้อย่างเขาไหมหนอ พูดให้สละสลวยสวยงาม สร้างวิมานจินตนาการในอากาศใครก็พูดได้ แต่สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พูดแล้วไม่ทำ พอจะมีใครที่กล่าวหาเช่นนี้เอาหลักฐานมาแจงกันบ้างสิครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้คุณกล้าพอที่จะกล่าวหา ตำหนิผู้อื่นโดยไม่ได้พิจารณาตัวเองเสียก่อนเลยว่าตัวคุณทำดีได้แค่ไหน
            ผมไม่ได้อยู่ข้างคุณอภิสิทธิ์ ไม่ได้เข้าข้างปชป แต่ผมจะยืนอยู่เคียงข้างคนที่ไม่ทำร้ายแผ่นดินเกิดของผมหรือถ้าจะมองที่ความร้ายปชป.ก็ยังเลวร้ายไม่เท่าคนที่โกงกินบ้านเมือง กินคนเดียวไม่พอเอาพี่น้องพวกพ้องมาโกง ช่วยกันยำประเทศผมซะเละ ลองสงบใจแล้วคุณลองมองย้อนกลับไปซิว่าการชุมนุมเรียกร้องครั้งไหน ไม่นำมาซึ่งความเสียหายบ้าง เวลาทำลายมันแค่พริบตา แต่ความเสียหายที่ตามมาโยนให้รัฐบาลรับผิดชอบ อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือครับผม
             ผมไม่ได้อยากจะคุ้ยเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ มันกี่ยุคกี่สมัยแล้วที่คนไทยผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ยิ่งการศึกษาสูงมีคนนับหน้าถือตาแล้วคิดผิด ประเทศชาติติดลบได้เลยนะครับผม ย้อนกลับมาที่ปัญหาเศรษฐกิจ การประชุมอาเซียนที่พัทยา ผู้นำประเทศต่างๆเขามาเพื่อทำความเข้าใจ เจรจาเพื่อจะสร้างและพัฒนาสิ่งดีๆให้แก่คนในประเทศ แต่ภาพที่ผมไม่เคยลืมเลยคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง หน้าตาถมึงทึงโหดเหี้ยมชั่วช้าใช้วาจาหยาบคายชักนำคนกลุ่มหนึ่งไปเพื่อทำลายการประชุมอาเซียนในครั้งนั้น...คุณคิดว่าผลจากการกระทำการนำของไอ้บ้าคนหนึ่งในวันนั้นประเทศเสียหายเท่าไหร่
            ปีที่ 2 คนบ้ากลุ่มเดิมชักชวนนำพาชาวบ้านหน้าตาซื่อๆเข้ามา จ้างมา ถ้าใครเถียงว่าไม่ได้มีการจ้างวานเกิดขึ้นมายันกับผมเพราะผมเห็นกับตา ชาวบ้านชาวนา ถูกคนบ้าบอกให้ลงชื่อในเอกสาร อ้างว่าทำเพื่อพิทักษ์ปกป้องสถาบัน(เอาท่านมาเกี่ยวทำไม) เป็นผมๆก็ลงนะ แล้วผมทำถวายหัวเลย ผมให้ได้หมดเลย เก็บบัตรประชาชนเขาไป คนซื่อที่ไหนจะกล้าทิ้งบัตรประชาชนครับผม เพราะอะไร เพราะเขาตระหนักดีว่าตัวเขานั้นคือประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ถูกต้องหรือไม่
              ทว่าคำเชิญชวนเหล่านั้นมันออกมาจากความคิดของคนที่คิดทำลายชาติ ทำร้ายประเทศ เห็นแก่ตัวอย่างมากมายมหาศาล ชาวบ้านโดยเฉพาะพี่น้องชาวอีสาน  รับฟังแต่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใดๆเลย  ต้นสายปลายเหตุไม่รู้ฟังไอ้ตัวที่อยู่บนเวทีมันพูดกรอกหูอย่างเดียว  เขาบอกเร้วว   ข้าก็เฮ้วววไปช่วย   ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรครับผม
              ลองนึกนะถ้าวันนี้มีคนมาที่บ้านคุณ ถือไม้ถือกระบอง ปิดล้อมการจราจรจนคุณเข้าออกไม่ได้ใช้ชีวิตไม่ได้ คุณเดือดร้อนไหม? ถ้าคุณต้องการให้ใครสักคนมาช่วยคุณคิดว่าเจ้าหน้าที่จะหนีพ้นหรือครับ เพราะเขาคือเจ้าหน้าที่ แต่สุดท้ายความบ้าเลือดการะหายสงคราม กระหายความตาย ของคนกลุ่มเดิมก็ยังไม่หยุด ยุพี่น้องชาวบ้านเข้าปะทะเจ้าหน้าที่ โดยให้แต่ข้อมูลเท็จ ก็เพราะฟังไอ้ตัวที่อยู่บนเวทีพูดอยู่คนเดียว พอเกิดการประทะ เนื้อหนังคนธรรมดาจะทนได้หรือครับ ประทะกันก็ตาย ทั้งทหาร ตำรวจ ชาวบ้าน
แล้วไอ้มันตัวเดิมก็ตะโกนโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชนผมขอถามคำเดียวเมิงไม่พาเขามาเรื่องมันจะเกิดไหม เมิงไม่ไปจ่ายเงิน หลอกพาเค้ามาถึงกรุงเทพ เจ้าหน้าที่เขาจะตามไปประทะถึงถิ่นอีสานไหม ? 
            ผมกล้าพอที่จะบอกว่าพี่น้องเสื้อแดงที่มาจากต่างจังหวัดเขาต่างก็ถูกหลอกมา ใช้เป็นเครื่องมือคนเลว พอปืนลั่นผมจะไปเดินเคียงข้าง ประทานโทษ ผมไม่เห็นเงาหมาสักตัว
           ภาพกรุงเทพลุกเป็นทะเลเพลิง ท่านยังจำได้หรือไม่
           ภาพศาลากลางจังหวัดถูกเผา ท่านยังจำได้หรือไม่
           ห้างร้านสาธารณะตู้โทรศัพท์ รถเมล์ถูกทุบทำลาย ท่านจำได้หรือไม่
           ผมมองว่าทุกภาพเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้น ไม่มีใครต้องการเห็น คนที่ทำเขาก็ทำเพราะไอ้คนบ้ามันสั่งไว้ เห็นๆกันจะๆ ไม่ต้องตัดต่อ 
          แล้ววันนี้ไอ้คนกลุ่มนี้ มันกำลังจะกลับมา แต่ครั้งนี้มันแต่งสูทผูกไทน์ มันหวังจะได้ยืนเชิดหน้าในสภา เพราะว่าหัวหน้ามันหญ่าย  นึกสิครับ  ประเทศไทยครั้งนี้บรรเจิดแน่  แค่คิดผมแทบจะสำลักอากาศตายแล้วครับผม 
ถ้าวันนั้นคุรเคยทำผิด วันนี้มีโอกาสแก้ไขเสียใหม่  ออกไปใช้สิทธิ์กาเบอร์ 10
ถ้าคุณยังไม่ตัดสินใจ ผมไหว้ด้วยความกรุณาแกมขอร้อง ออกไปใช้สิทธิ์กาเบอร์ 10
ถ้าคุณยังลังเลไม่อยากจะโหวตใครหรือไม่โหวตอะไรก็ตาม ผมกราบขอให้ฝืนใจสักนิดหน่ิอย ออกไปใช้สิทธิ์กาเบอร์ 10
เพราะผลมันเห็น สุดท้ายก็ต้องได้ไม่ใครก็ใคร แต่การที่คุณไม่โหวต ถูกต้องไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายใด 
แต่เกิดโทษทางอ้อม อย่างแน่นอน 101%  เพราะคะแนนมันจะเทลงไปให้อีกฝ่าย เขาฝากไว้แล้ว กูแพ้ กูเผา
แล้วถ้าเขาชนะ นึกดูสิครับ  ไอ้บุคคลกลุ่มนั้นมันจะทำหน้าอย่างไร  มันจะโห่ร้องดังกล้องแค่ไหน  พอผ่านเวลาฉลอง คุณจะต้องออกมาอีก เพราะมันคงกินจนหมดประเทศแน่นอน   
           จะรอให้ถึงเวลานั้นทำไมครับผม ในเมื่อวันนี้ท่านมีประชาธิปไตยอยู่ในมือ ใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุดเถิดครับ
3 กรกฎาคม 2554 ถือไปครับบัตรประชาชน จะได้ระลึกรู้ว่าทุกคนคือประชาชน ไปใช้สิทธิ์กาเบอร์ 10 
ถึงเขาจะไม่ได้ดั่งใจ ดีแต่พูดความจริงอยู่ได้ทุกวี่วัน ถึงเขาจะตัดสินใจช้าไปหน่อยเพราะมันคือความรอบคอบ  แต่การันตีครับผม
ว่าอย่างน้อยพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เผาแผ่นดิน ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกาเบอร์ 10
"ไม่รักก็อย่าทำร้าย" ครับ

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความพอเพียง

ความพอเพียง
คำว่า พอเพียง มีความหมายว่า พอมีกิน
เศรษฐกิจแบบพอเพียง หมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้
ไม่ต้องขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง
แปลจากภาษาฝรั่งได้ว่า ให้ยืนบนขาของตัวเอง
หมายความว่า สองขาของเรายืนบนพื้นให้อยู่ได้
ไม่หกล้ม ไม่ต้องไปขอยืมของคนอื่นเพื่อที่จะยืนอยู่
คำว่า พอ คนเราถ้าพอในความต้องการ มันก็มีความโลภน้อย
เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย
พอเพียง อาจมีมาก อาจมีของหรูหราก็ได้
แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น
พระราชดำรัสพระราชทานอในโอกาสที่คณะบุคคลเข้าเฝ้า
ถวายพระพรชัยมงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541

การทำงาน

การทำงาน
เมื่อมีโอกาสและมีงานทำ
ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้
หรือเงื่อนไขอันใด ไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง
คนที่ทำงานได้จริงๆนั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใด
ย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่
มีความขยัน และ ความซื่อสัตย์สุจริต
ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา 8 กรกฎาคม 2530
.....

แก้ปัญหาด้วยปัญญา

แก้ปัญหาด้วยปัญญา
ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีทางแก้ไขได้
ถ้ารู้จักคิดให้ดี ปฏิบัติให้ถูก
การคิดได้ดีนั้น มิใช่การคิดได้ด้วยลูกคิด หรือด้วยสมองกล
เพราะโลกเราในปัจจุบันจะวิวัฒนาการไปมากเพียงใดก็ตาม
ก็ยังไมมีเครื่องมืออันวิเศษชนิดใด
สามารถขบคิดแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างสมบูรณ์
การขบคิดวินิจฉัยปัญหา จึงต้องใช้สติปัญญา
คือคิดด้วยสติรู้ตัวอยู่เสมอ
เพื่อหยุดยั้งและป้องกันความประมาทผิดพลาด
และอคติต่างๆมิให้เกิดขึ้น
ช่วยให้การใช้ปัญญาพิจารณาปัญหาต่างๆ
เป็นไปอย่างเที่ยงตรง ทำให้เห็นเหตุเห็นผลที่เกี่ยวเนื่องกัน
เป็นกระบวนการได้กระจ่างชัด ทุกขั้นตอน
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 สิงหาคม 2539
.....
...