หนึ่งปีผ่านไป ปีที่ผ่านมาแทบจำจดจำอะไรไม่ได้เลย คงเพราะทำตัวไร้สาระไปวันๆหนึ่ง วนเวียนตนเองอยู่ในสังคมโซเชียล ตอนนี้อยากจะลด ละ เลิก แต่ก็น่าหัวร่อ ไม่เห็นมีที่ไปเลยแต่อย่างใด
ดูเหมือนว่าคำพูดนี้สื่อความหมายได้หลายอย่างทีเดียว ปกติเคยคิด พูด ทำอะไรก็ทำไป ปล่อยไปตามสบาย ไม่ต้องมีความรับผิดชอบมากนัก ทำก็ต่อเมื่อเป็นความรับผิดชอบและอยากจะทำด้วยใจเท่านั้น ความสุขเกิดจากการได้ทำในสิ่งที่ตนเองชืานชอบ มีความถนัด และสนุกสนานไปกับมันทุกขณะจิตที่ทำนั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะทำอะไรสักอย่างเพื่อสิ่งใดแล้วตัวเองจะทำได้ประสบความสำเร็จเลย น่าขายหน้า แต่มันเป็นความจริงนี่นา หลายต่อหลายครั้งที่ตั้งรางวัล มีสิ่งของล่อให้อยากทำนี่ นู่น นั่น ไม่เคยเห็นจะทำอะไรสำเร็จสักที มันจะต้องตกม้าตายตอนจบทุกทีเหมือนกัน
แต่ถ้าลองว่าถ้าอยากทำ ฉันก็จะทำแบบไม่ลืมหูลืมตา เหมือนคนบ้าเลย มีหลายคนเคยถามว่าถ้าเลือกได้อยากทำงานกับคนแบบไหน ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคนช่างเลือกและเลือกที่รักมักที่ชังที่สุด แต่เมื่อต้องวางตัวเป็นกลาง ทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าลองมีเรื่องขัดเคืองใจอะไรขึ้นมา อภัยได้ก็ลืม อภัยไม่ได้ก็ไม่ถึงกับแค้นนะ ปล่อยวางได้ แต่การปฏิบัติตัวต่อกันอย่างที่เคยทำมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง มันเหมือนเป็นความรู้สึก ลองว่าได้แผลรักษาหายมันก็ไม่เหมือนเดิม
บางคนอาจมองว่าเป็นความเครียดแค้น โกรธชัง แต่ฉันมองว่าไม่ใช่ มันกลับเป็นเรื่องของความเต็มใจมากกว่า เหมือนเพื่อนที่เราเคยคบหา ช่วยเหลือกันมา
ถ้าเมื่อเริ่มแรก เราก็้แจก 100 ให้กันไป จากนั้น คะแนนตรงนี้มันก็จะลดลง ๆ ตามลำดับ ของเก่าจะสู้ของใหม่ได้ไง 55
แต่ก็อีกนั่นแหละ บางครั้งการที่เราทุ่มเททำอะไรลงไปแล้วไม่สำเร็จ มันก็ต้องท้อเป็นธรรมดา จากที่เคยรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าก็เลยกลายเป็นเศษกรวด
ก็เลยคิดว่าไม่ทำจะดีกว่า เพราะทำสำเร็จไปก็มีค่าไม่ต่างกัน แต่ถ้าเป็นตัวฉันเองฉันจะทำเเพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย ไม่ต้องทำแล้วเป็นคนดีในสายตาคนอื่นหรอกนะ แค่มันพอมีประโยชน์ใช้สอยอยู่ได้บ้างเท่านั้น จบ
-- ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว เริ่มนึกถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ยังนึกไม่ออกเลย ถ้าพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกไป มันก็จะกลายเป็นคนติดลบ แต่อย่างน้อย
เราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เฮ้อ ตกลงก็ยังคงคิดไม่ได้ว่าจะทำอะไร ต่อไปในปีใหม่ดี ฉันไม่ชอบการต่อสู้ เพราะถ้าสู้แล้วแพ้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบทำสักเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเป็นการรบที่ไม่จบ ไม่เสร็จ มันยิ่งน่าเบื่อ หากยิ่งมีในเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เนืองๆ เราว่าทำไปก็เปลืองตัวเปล่าๆ
มันไม่ทำให้ตัวเรามีคุณค่าขึ้นมา ใช่ เป็นคนไม่แคร์ ไม่แยแสอะไรเลย ถ้าทำก็ทำเต็มร้อย ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำเลย ที่จริงฉันไม่มีตรงกลางนะ สำหรับการใช้ชีวิต จะมีก็แต่ความคิดเห็นนี่เองที่พอจะเป็นกลางหน่อย คงเพราะหนังสือที่ชอบอ่านตอนเป็นเด็ก นั่งเขียนไดอารี่วันนี้ก็เพราะไม่มีอะไรจะทำอยู่นั่นแหละ การจะริเริ่มทำอะไรตอนนี้มันเหมือนไม่มีไฟเอาเสียเลย ยิ่งถ้าทำแล้วต้องเป็นการนำพาตนเองไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ต้องยืมจมูกเขาหายใจ ฉันยิ่งขี้เกียจใหญ่ เกรงว่ามันจะทำคนอื่นให้ลำบากเสียเปล่าๆ มันเป็นความขัดแย้งกันเองภายในตัวฉัน และในปีนี้มันกำลังจะจบลง ปีหน้าไม่ต้องมีหน้าที่ต้องสร้างภาพ
อะไรอีกแล้ว ก็คงจะมีอะไรใหม่ๆเข้ามาในชีวิตบ้าง เปลี่ยนจากสังคมเดิมๆ ความคิดเดิมๆ และคนที่ไม่รู้จัก เป็นเหมือนปลากระโดดลงในบ่อน้ำใหม่
ว่ายไปหาลำธารใสสายเล็กๆข้างหน้า หวังว่าที่นั่นจะยังมีแสงตะวันรอฉันอยู่ สุขสันต์วันปีใหม่ แด่เธอ ...คนในความทรงจำของฉัน
วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ปัญหาน้ำท่วม ปี 2555 ไม่ใช่แค่เล่นๆ
เพื่อความไม่ประมาท...อย่าเชื่อรัฐบาลชุดนี้ เชื่อไม่ได้
ยังไงก็ไม่เชื่อ ไว้ใจไม่ได้สักคน....
กรุงเทพ...ต้องเตรียมพื้นที่รับน้ำเอาไว้ก่อน คือเคลียร์คลองในกรุงเทพให้แห้งกิ๊ก...เลยนะครับ แล้วก็เตรียมพื้นที่ระบายน้ำสำรองไว้ด้วย (ให้นึกถึงพื้นที่คลองส่งน้ำที่มีพื้นที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งข้างบนและฝั่งข้างล่าง ลองนึกดูสิว่ายังมีพื้นที่ไหนที่สามารถรองรับปริมาณน้ำเพิ่มได้บ้าง จากปริมาณน้ำปกติ ให้สำรองพื้นที่ตรงนั้นไว้อย่าให้น้ำเข้าไป แต่เก็บไว้เป็นพื้นที่เผื่อเหลือเผื่อขาดเพื่อรอรับน้ำสำรองที่อาจท่วมเนื่องจากพื้นที่ในกรุงเทพระบายย้ำไม่ทัน)
กรุงเทพ...ต้องเตรียมพื้นที่รับน้ำเอาไว้ก่อน คือเคลียร์คลองในกรุงเทพให้แห้งกิ๊ก...เลยนะครับ แล้วก็เตรียมพื้นที่ระบายน้ำสำรองไว้ด้วย (ให้นึกถึงพื้นที่คลองส่งน้ำที่มีพื้นที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งข้างบนและฝั่งข้างล่าง ลองนึกดูสิว่ายังมีพื้นที่ไหนที่สามารถรองรับปริมาณน้ำเพิ่มได้บ้าง จากปริมาณน้ำปกติ ให้สำรองพื้นที่ตรงนั้นไว้อย่าให้น้ำเข้าไป แต่เก็บไว้เป็นพื้นที่เผื่อเหลือเผื่อขาดเพื่อรอรับน้ำสำรองที่อาจท่วมเนื่องจากพื้นที่ในกรุงเทพระบายย้ำไม่ทัน)
ความหมายของพระราชดำรัส
ท่านให้ระมัดระวังช่วงรอยต่อของคลองภายในกรุงเทพแต่ละคลองว่าความกว้างของคลองมันกว้างเท่าไหร่
กว้างกี่เมตรแล้วก็เปรียบเทียบช่วงรอยต่อดูสิว่าตรงไหนแคบหรือกว้างกว่ากัน เช่นคลองที่ 1 กว้าง 5 เมตร คลองที่ 2 กว้าง 3
เมตร แล้วสองคลองนี้มันต่อกันน้ำไหลมา
มันก็ต้องท่วมพื้นที่ตอนล่างของคลองแน่นอน
วิธีแก้ไม่ให้ท่วม คุณก็ไปเอาเครื่องผลักดันมาตั้งตรงรอยต่อของคลอง
เสร็จแล้วก็ลองคำนวณปริมาณไหลเข้า ไหลออก (จำลองจากโมเดลดูก็ได้) ดูซิว่าความถี่
ความไวของการไหลเป็นเท่าไหร่ (มันมีเครื่องวัดอยู่) ทีนี้ก็มาคำนวณหาค่าชดเชยเอาว่าจะต้องตั้งกี่เครื่อง..ก็คิดจะช่วงกว้าง
2 เมตรที่หายไป จากคลองที่ 1 น้ำไหลเท่าไหล เราก็ลบจาก 3 เมตรของน้ำที่ไหลออกไป
ผลก็จะได้ช่วงกว้างน้ำ ที่ขาดหายไปก็เท่ากับ 2 เมตรของคลองด้านบน
จากนั้นเราก็มาคำนวณกับเครื่องดันน้ำว่ามันดันด้วยความเร็วเท่าไหร่
ได้เท่าไหร่ ก็เทียบบัญญัติไตรยางค์ไป แล้วก็เอาเครื่องไปติดไว้ตรงรอยต่อ
พอน้ำไหลมา ก็ดันให้เร็วขึ้น ....ทางข้างหน้าต้องเป็นอย่างไร ต้องเรียบและโล่ง น้ำจะได้ไปไวไว ( เอาแค่นี้ก่อน
...แค่ว่าน้ำฝนตกลงมาแล้วกทม.เอาอยู่หรือเปล่า
...เพราะว่าน้ำในกทม.เขาถูกแบบไว้ระบายน้ำฝนส่วนเกินที่ท่วมพื้นที่ในกรุงเทพเท่านั้น
(ใช่ไม๊)
**
เขาไม่ได้มีคลองในกทม.ไว้รองรับน้ำจากภาคเหนือที่ไหลบ่าลงมานะครับ
น้ำเหนือเขาออกแบบทางไว้แล้วให้ระบายออกทางด้านข้าง
ก็คือเอาคลองรังสิตทั้งสายเลย เป็นฐาน
ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำกั้นไว้ ประมาณว่ากำแพงกั้นน้ำที่กำลังทำใหม่อยู่ในขณะนี้นั่นเอง
แต่....มีกำแพงชั้นนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่ากำแพงด้านนอกคุณจะไม่กั้น กำแพงด้านนอกคุณก็ต้องกั้น
เคยวางกระสอบก็ต้องวางกระสอบ (ไปเตรียมมาไว้เลย...กระสอบ อย่างไรก็ต้องได้ใช้
เพราะถ้าคุณไม่มีแผนกั้นน้ำที่เป็นแนววางกระสอบเดิม
แปลว่า...คุณจะปล่อยให้น้ำท่วมข้างนอกเหมือนปีก่อนเด๊ะๆ แต่
เขาได้ทำการกั้นพื้นที่สำคัญๆประเภทที่เป็น นิคมอุตสาหกรรม สถานที่ท่องเที่ยว...ทำหรือยัง มีมาตรการอย่างไร
(ขนของขึ้นที่สูงแล้วจะคนไปไว้ที่ไหน...เอาคนนอนแช่น้ำเหมือนปีก่อน
หรือจะให้เขาอยู่กันอย่างไร จะมีเรือกี่ลำจอดเป็นทางเข้าออกเพื่อการเดินทางกี่ลำคุณก็ว่าไป (ชาวบ้านเขาจะได้เตรียมตัวถูก)
แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ไปเตรียมพื้นที่คอนโดเอาไว้เลย 1 ชุด เอาสูงๆ
เอาหลายๆห้องด้วย แล้วข้างล่างสักชั้นที่
2 คุณก็เอาสะเบียงไปเก็บสะสมเอาไว้ เตรียมไว้ให้เป็นยุ้งข้าวเลย ถามว่าถ้าน้ำมา
เอาไม่อยู่จริงๆ คุณก็อพยพคนไปอยู่ที่นี่
เตรียมช่องทางการเดินทางไว้ให้เขาแล้วก็ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า...ที่นี่มาอยู่ได้...มาอยู่ได้ถ้าน้ำท่วมบ้าน
ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ก็ให้มาอยู่ที่นี้
...ทำเป็นศูนย์ลี้ภัยเตรียมไว้ไม่เป็นเป็นหรือครับ
(เงินเบิกไปตั้งเยอะ...เอาไปทำอะไรหมด) ทำไมไม่เอาไปซื้อของ พวกที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้า (ก็เอาเท่าที่จำเป็น...จะรอของบริจาคอย่างเดียวไม่ได้
เพราะเวลาน้ำมา มันมาเยอะ ประชาชนก็วิ่งหัวชนกัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่มี
...งานในส่วนนี้จะไม่มีคนรับผิดชอบ*** ตรงนี้เป็นช่องว่าง
คราวที่แล้วแก้ปัญหาโดยการใช้อาสาสมัคร คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะยังอยู่ที่เดิม รอให้คุณใช้ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าทรัพยากรจะมีเหมือนเดิม การขนส่ง ปูนทราย มีสแปรไว้แล้วหรือยัง......นี่มันการเตรียมการรองรับน้ำระดับตำนานเลยนะครับ คุณทำเล่นๆได้อย่างไร (ตกกระโหลกแตกดีมั้ย)
คราวที่แล้วแก้ปัญหาโดยการใช้อาสาสมัคร คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะยังอยู่ที่เดิม รอให้คุณใช้ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าทรัพยากรจะมีเหมือนเดิม การขนส่ง ปูนทราย มีสแปรไว้แล้วหรือยัง......นี่มันการเตรียมการรองรับน้ำระดับตำนานเลยนะครับ คุณทำเล่นๆได้อย่างไร (ตกกระโหลกแตกดีมั้ย)
ลำพังน้ำในกรุงเทพ น้ำท่วมเพราะฝนตกนั้นไม่เท่าไหร่
แต่ถ้ามีน้ำเหนือไหลลงมาทับด้วย ตัวใครตัวมัน ....ช่วยไม่ทันแล้ว นอนแช่น้ำไปได้เลย
เพื่อความปลอดภัย แผนกั้นน้ำต้องเริ่มวางตั้งแต่ก่อนน้ำเข้าอยุธยา
ไปสำรวจคลองดูเอาอยู่หรือเปล่า...ไม่ต้องไปดูก็รู้ เอาไม่อยู่
เพราะน้ำท่วมอยุธยาทุกปี ปีนี้ก็ต้องท่วม
แต่คุณป้องกันได้ ทำไมไม่ป้องกัน คุณลงพื้นที่ คุณไปดูอะไรมาบ้าง
ช่วงรอยต่อของแม่น้ำกับคลองในกรุงศรีอยุธยา ได้ไปสำรวจหรือยัง
มีมาตรการอะไรรองรับบ้าง
ถ้ามีน้ำท่วมจุดหนึ่งภายในกรุง คุณจะระบายน้ำไปทางไหน
...ตอบได้หรือยัง
เพราะว่าต้องไม่ลืมว่าแนวกั้นน้ำตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
จากคันกั้นน้ำของนิคมอุตสาหกรรม ทีนี้ถ้าเอาไม่อยู่
ตัดพื้นที่ตรงอุตสหกรรมออก
น้ำจะมาเยอะกว่าปีก่อนอีก และก็สูงกว่าเดิมด้วย
เพราะอะไร....เพราะพื้นที่รับน้ำที่เคยเป็นนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่น้ำเคยเข้าไปท่วมหายไปแล้ว
คุณจะเอาน้ำไปไว้ที่ไหน...จะระบายไปทางไหน จะสูบออกได้ตรงไหน บ้าง...ถ้าตรงนี้ตอบไม่ได้
ก็เสี่ยงนอนในน้ำเข้าไปอีก
...............
...............
ประเด็นสำคัญก็คือแนวคันกั้นน้ำทั้ง 2 ข้าง ทั้งทางฝั่งศิริราช และฝั่งตรงข้าม ปีที่แล้วทำกำแพงกระสอบทรายกี่ชั้น แล้วปีนี้เอากำแพงกระสอบทรายออก แล้วชดเชยด้วยอะไร กำแพงเหล็กเปล่าๆ หรืออะไร ไม่ต้องปูกระสอบแล้วแน่นะ หาญไปหรือเปล่า
ฝั่งตรงข้ามศิริราช วางกำแพงกั้นหรือยัง
สูงกี่เมตร คำนวณความสูงเผื่อปริมาณน้ำเหนือหรือยัง
เพราะเส้นเจ้าพระยานี้ต้องรับน้ำหมดทั้งจากฝั่งตะวันออกที่ไหลลงไปจากทางตอนเหนือ
แล้วปันให้ไหลออกมาทางซีกปทุมธานี
ผ่านคลองรังสิต เส้นนี้ต้องแข็งทั้งเส้น
ถามว่าทำไมต้องวางให้แข็ง เพราะระบบการบริหารจัดการน้ำของคุณเชื่อไม่ได้
เอาแน่อะไรไม่ได้สักอย่าง เลย
ให้การไปคนละทางสองทาง ยังหาจุดเชื่อมโยงทางน้ำไม่เจอเลย ถามว่ารู้ได้อย่างไร
ตอบว่ารู้ได้เพราะน้ำคุณไหลไม่มีความต่อเนื่อง
น้ำทุกวันนี้ที่ไหลจากเหนือลงไม่เป็นสาย
แต่จะกลายเป็นน้ำบ่า คือไหลมาเป็นหน้ากระดาน ไหลมาเป็นผืนๆ
แล้วถ้าน้ำส่วนนี้มาเจอกับน้ำในทุ่งที่คั่งอยู่เพราะน้ำฝน............อีก
เป็นอันจบข่าว หมดทางไป
ถามว่ารู้ได้อย่างไร
รู้จากข่าวภัยแล้งของคุณที่รายงานออกมาในแต่ละพื้นที่ไงครับ มันฟ้องว่าระบบชลประทานคุณไม่ดี ไม่มีมาตรฐาน
ไม่มีระบบชดเชยการส่งน้ำเลย
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่น้ำล่างแห้ง แต่น้ำท่วมไหลมารวมกันตรงกลาง
แล้วบอกน้ำแล้งอยู่ตรงปลาย
...........รายงานอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ฟังรายงานข่าวจากพื้นที่น้ำแล้ง
ก็รู้แล้วว่าโกหก...เพราะมีน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ แต่พอมาถึงช่วงปลายน้ำหรือตอนเหนือ แถบ
พิษณุโลก ข้ามมาฝั่งสุรินทร์ ศรีษะเกต
........ภาพมันบอกว่าคุณไม่ได้มีการระบายน้ำแบบคลองส่งคลอง หรือที่เราเรียกว่าคลองโยงน้ำ
เพราะถ้ามีระบบไหลตัวนี้รองรับน้ำอยู่ปัญหาน้ำแล้งจะต้องไม่มี ...แต่นี้มีทั้งที่น้ำในเขื่อนแห้งเกือบสนิท
แปลว่าคุณปล่อยน้ำออกหมด ไม่มีกักเก็บไว้ในระบบที่เป็นคลองส่งน้ำ ที่ทำไว้เป็นลำคลองสายเล็กๆ
ไม่มีแน่นอน
***คำถามคือน้ำท่วมแล้วน้ำหายไปไหน ............นี่สิข้อสงสัย ว่าน้ำหายไปไหน น้ำไม่ได้ไหลลงทะเล ไม่ได้อยู่ในแม่น้ำ ไม่ได้อยู่ในทุ่ง แล้วน้ำหายไปไหน เขื่อนก็ไม่มีน้ำ ถ้าน้ำไหลลงแม่น้ำมันก็ต้องไหลผ่านลำคลอง ไหลผ่านห้วยหนองคลองบึง แต่นี้น้ำหายไปเฉยๆ น้ำหายไปไหน ...สันนิษฐานได้ทางเดียวคือระบบส่งน้ำของคุณไม่มีความเชื่อมโยง มั่นใจ...ต้องมีบางจุดที่น้ำไหลออกทะเลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรายงานน้ำฝนจะต้องไม่ออกมาเป็นอย่างนี้...................ต้องมีคนโกหก 100 %
***คำถามคือน้ำท่วมแล้วน้ำหายไปไหน ............นี่สิข้อสงสัย ว่าน้ำหายไปไหน น้ำไม่ได้ไหลลงทะเล ไม่ได้อยู่ในแม่น้ำ ไม่ได้อยู่ในทุ่ง แล้วน้ำหายไปไหน เขื่อนก็ไม่มีน้ำ ถ้าน้ำไหลลงแม่น้ำมันก็ต้องไหลผ่านลำคลอง ไหลผ่านห้วยหนองคลองบึง แต่นี้น้ำหายไปเฉยๆ น้ำหายไปไหน ...สันนิษฐานได้ทางเดียวคือระบบส่งน้ำของคุณไม่มีความเชื่อมโยง มั่นใจ...ต้องมีบางจุดที่น้ำไหลออกทะเลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรายงานน้ำฝนจะต้องไม่ออกมาเป็นอย่างนี้...................ต้องมีคนโกหก 100 %
.......................................................................................................
แผนการระบายน้ำออกทะเลที่ขอนำเสนอ ก็คือใช้ 3 ช่องทางน้ำโดยกระจายน้ำเหนือให้ไหลแยกออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันออก ลงแม่น้ำท่าจีน ที่ ฉะเชิงเทรา โดยไหลน้ำออกไปจากเส้นน้ำเหนือตอนกลาง ที่ไหลลงมารวมกันที่คลองรังสิตทั้งสาย ผ่านเข้าเส้นทางคลอง 3 วา 6 วา ตัดเข้าเส้นหนองจอก ให้น้ำไปไหลออกทางฝั่งตะวันออก คือไหลลงแม่น้ำบางปะกง ส่วนหนึ่ง
ตามเส้นทางนี้นะครับ
ระบบทางน้ำในกทม.ปทุมธานี
ระบบการชลประทานในกทม.และปริมณฑล
แผนการระบายน้ำออกทะเลที่ขอนำเสนอ ก็คือใช้ 3 ช่องทางน้ำโดยกระจายน้ำเหนือให้ไหลแยกออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันออก ลงแม่น้ำท่าจีน ที่ ฉะเชิงเทรา โดยไหลน้ำออกไปจากเส้นน้ำเหนือตอนกลาง ที่ไหลลงมารวมกันที่คลองรังสิตทั้งสาย ผ่านเข้าเส้นทางคลอง 3 วา 6 วา ตัดเข้าเส้นหนองจอก ให้น้ำไปไหลออกทางฝั่งตะวันออก คือไหลลงแม่น้ำบางปะกง ส่วนหนึ่ง
ตามเส้นทางนี้นะครับ
ระบบทางน้ำในกทม.ปทุมธานี
ระบบการชลประทานในกทม.และปริมณฑล
ถ้าพิจารณาจากแผนที่ทางน้ำซึ่งแสดงถึงแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งไหลผ่านใจกลางกรุงเทพมหานคร
หรือถ้าเป็นสมัยก่อนเราจะบอกว่าเป็นเส้นแบ่งระหว่าง กทม.และกรุงธนบุรี
ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำท่าจีน
ซึ่งแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังหวัดอุทัยธานีไหลผ่านจังหวัดชัยนาท สุพรรณบุรี
นครปฐม และออกทะเลที่จังหวัดสมุทรสาคร
อาจเรียกชื่อต่างๆกันตามทางจังหวัดที่แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านเมื่อไหลผ่าน
มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 325 กม.
ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำบางปะกง
ซึ่งกำเนิดจากแม่น้ำนครนายกและแม่น้ำปราจีนบุรีไหลมาบรรจบกันที่จังหวัดปราจีนบุรี
ไหลผ่านจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดฉะเชิงเทรา มีความยาวทั้งหมด 230 กม.
จากแผนที่ข้างต้น ในเขตกทม.และปริมณพลจะมีคลองหลักๆจำนวนมาก ที่ได้ยินกันเกือบทุกวัน เช่น
ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา กทม.-
ฉะเชิงเทรา, กทม.- สมุทรปราการ
ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง มี คลองแสนแสบ คลองประเวศน์บุรีรมย์
คลองสำโรง มีลักษณะทางกายภาพเกือบคู่ขนานกัน
ระหว่างคลองทั้งสามมีคลองเล็กๆขุดเชื่อมต่อเพื่อประโยชน์การระบายน้ำมากมาย
ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน ตั้งแต่จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี กทม. และสมุทรปราการ มีคลองสำคัญๆ คือ คลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองทวีวัฒนา คลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ คลองมหาชัย คลองสรรพสามิต คลองสหกรณ์
แผนที่คูคลองในจังหวัดปทุมธานี
ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ส่วนจังหวัดปทุมธานี-ฉะเชิงเทรา มีคลองระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำนครนายก
แม่น้ำบางปะกง มี คลองเชียงรากน้อย คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองหกวา คลองระพีพัฒน์
มี คลอง 1- คลอง 17 ขุดเชื่อมต่อระหว่างคลองระพีพัฒน์ คลองรังสิต และคลองหกวา
เหตุผล เพราะ ในส่วนนี้ ปีที่แล้วมีปัญหา 2-3 ข้อ แต่เป็นจุดอ่อนสำคัญทั้งหมดที่ทำให้น้ำล้อมกรุง ไล่ตั้งแต่ คันกั้นน้ำฝั่งกรุงเทพมหานคร ที่เป็นรอยต่อเชื่องระหว่าง คลอง 3 วา 6 วา ตอนล่าง ปีที่แล้วมีน้ำรั่วเข้ามาตลอดแนว ทำให้น้ำที่ควรไหลออกไปทางฝั่งทิศตะวันออก ที่ควรไปออกที่แม่น้ำบางปะกง ไหลวกกลับเข้ามาท่วมกรุงทพฝั่งแถบบางนา หนองจอก ทั้งแถบ
ซึ่งแต่เดิม พื้นที่ว่างตรงนี้มีโอกาสน้ำท่วมจากน้ำล้นจากคันกั้นน้ำแถบล่าง(เป็นช่วงน้ำไหลลงโค้งพอดี—จากแผนที่ ดังนั้นช่วงรอยหักตรงนี้เป็นรอยต่อสำคัญที่ต้องเอาเครื่องสูบและเครื่องดันน้ำไปตั้งไว้ในพื้นที่ให้ทำงานสลับกัน คือ ติดตั้งเพื่อจุดประสงค์ 1)ให้มีการผลักดันน้ำออกสู่ทะเล ให้เร็วและมากที่สุด 2) และรองรับสูบน้ำส่วนเกินที่ไหลรอดเข้ามาจากรอยรั่วบริเวณคันกั้นน้ฟันหลอ ในจุดต่างๆ ตรงส่วนนี้ แต่ตรงนี้สำคัญที่ตัวคันกั้นน้ำ ต้องระวังไม่ให้มีรอยรั่ว ไม่งั้นน้ำตรงนี้จะไหลเข้าท่วมกรุงเทพฝั่งตะวันออก พอป้องกันตรงนี้เสร็จแล้วก็ใช้วิธีบังคับด้วยแนวคันกั้นน้ำที่สร้างใหม่ เอาเป็นฐานรับน้ำตอนล่าง แล้วก็ปล่อยน้ำให้ไหลออกที่แม่น้ำบางปะกงกับแม่น้ำท่าจีน
(โดยไม่ให้น้ำไหลวกกลับมาท่วมกรุงเทพฝั่งตะวันออกด้านใน ไล่ตั้งแต่ ดอนเมือง สายไหม รามอินทรา มีนบุรี หนองจอก บางนาตราด-แถบลาดกระบัง ...ตรงนี้ก็จะไม่ท่วม ปีที่แล้วน้ำเข้าจุดนี้
เหตุผล เพราะ ในส่วนนี้ ปีที่แล้วมีปัญหา 2-3 ข้อ แต่เป็นจุดอ่อนสำคัญทั้งหมดที่ทำให้น้ำล้อมกรุง ไล่ตั้งแต่ คันกั้นน้ำฝั่งกรุงเทพมหานคร ที่เป็นรอยต่อเชื่องระหว่าง คลอง 3 วา 6 วา ตอนล่าง ปีที่แล้วมีน้ำรั่วเข้ามาตลอดแนว ทำให้น้ำที่ควรไหลออกไปทางฝั่งทิศตะวันออก ที่ควรไปออกที่แม่น้ำบางปะกง ไหลวกกลับเข้ามาท่วมกรุงทพฝั่งแถบบางนา หนองจอก ทั้งแถบ
ซึ่งแต่เดิม พื้นที่ว่างตรงนี้มีโอกาสน้ำท่วมจากน้ำล้นจากคันกั้นน้ำแถบล่าง(เป็นช่วงน้ำไหลลงโค้งพอดี—จากแผนที่ ดังนั้นช่วงรอยหักตรงนี้เป็นรอยต่อสำคัญที่ต้องเอาเครื่องสูบและเครื่องดันน้ำไปตั้งไว้ในพื้นที่ให้ทำงานสลับกัน คือ ติดตั้งเพื่อจุดประสงค์ 1)ให้มีการผลักดันน้ำออกสู่ทะเล ให้เร็วและมากที่สุด 2) และรองรับสูบน้ำส่วนเกินที่ไหลรอดเข้ามาจากรอยรั่วบริเวณคันกั้นน้ฟันหลอ ในจุดต่างๆ ตรงส่วนนี้ แต่ตรงนี้สำคัญที่ตัวคันกั้นน้ำ ต้องระวังไม่ให้มีรอยรั่ว ไม่งั้นน้ำตรงนี้จะไหลเข้าท่วมกรุงเทพฝั่งตะวันออก พอป้องกันตรงนี้เสร็จแล้วก็ใช้วิธีบังคับด้วยแนวคันกั้นน้ำที่สร้างใหม่ เอาเป็นฐานรับน้ำตอนล่าง แล้วก็ปล่อยน้ำให้ไหลออกที่แม่น้ำบางปะกงกับแม่น้ำท่าจีน
(โดยไม่ให้น้ำไหลวกกลับมาท่วมกรุงเทพฝั่งตะวันออกด้านใน ไล่ตั้งแต่ ดอนเมือง สายไหม รามอินทรา มีนบุรี หนองจอก บางนาตราด-แถบลาดกระบัง ...ตรงนี้ก็จะไม่ท่วม ปีที่แล้วน้ำเข้าจุดนี้
ข้อแนะนำเพิ่มเติม...
งบประมาณที่กู้ไป รัฐบาลน่าจะแบ่งมาซื้อเครื่องสูบน้ำติดตั้งไว้บริเวณปลายคลอง ปลายแม่น้ำ
และถ้าเป็นพื้นที่บริเวณปลายน้ำก็ควรเอาเครื่องสูบกับเครื่องดันไปติดตั้ง ในกรณีถ้าคิดว่าเอาอยู่ เพื่อช่วยให้เกษตรกรที่เขาทำนากุ้ง แถบชายทะเล ตรงนี้ ได้ไม่ต้องเจอกับปัญหาน้ำกร่อยเนื่องจากน้ำเหนือซึ่งเป็นน้ำจืดไหลมารวมกันกับน้ำทะเล แถบจังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย สมุทร...ทั้งหลาย พอน้ำลง น้ำทะเลไม่หนุน ก็รีบผลัก และสูบออก น้ำจะได้ไม่ขังอยู่ในทุ่ง อย่างเช่นเป็นรอยต่อจากนครปฐมก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น้ำเหนือจะมาตลบจากทางด้านหลังได้ ก็ใช้วิธีเดียวกันป้องกัน
ในปีที่แล้วน้ำท่วมตรงนี้ถ้าติดตั้งแบบนี้ไว้ก็บรรเทาความเสียหายได้เยอะ
****
ศักยภาพการระบายน้ำออกสู่ทะเลถ้าดูศักยภาพการระบายน้ำข้อมูลพื้นฐานจริงๆ จะเห็นว่าทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จากพื้นที่ปทุมธานีถึงสมุทรปราการสามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ประมาณ 26 ล้านลบ.ม.ต่อวัน และสามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำบางปะกงได้ประมาณ 21 ล้านลบ.ม.ต่อวัน และสามารถผันน้ำออกสู่อ่าวไทยโดยตรงได้ประมาณวันละ 25 ลบ.ม.ต่อวัน ส่วนทิศตะวันตกสามารถระบายลงสู่แม่น้ำท่าจีนได้วันละ 32.18 ล้านลบ.มต่อวัน (มติชน) แต่ในเชิงปฏิบัติจริงจะได้เท่าไรนั้นคงต้องดูปริมาณน้ำทั้งหมด และพิจารณาว่าควรจะผันน้ำออกที่บริเวณใดจึงจะทำให้น้ำออกสู่ทะเลได้เร็วที่สุดและสามารถลดแรงดันน้ำต่อกำแพงสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
งบประมาณที่กู้ไป รัฐบาลน่าจะแบ่งมาซื้อเครื่องสูบน้ำติดตั้งไว้บริเวณปลายคลอง ปลายแม่น้ำ
และถ้าเป็นพื้นที่บริเวณปลายน้ำก็ควรเอาเครื่องสูบกับเครื่องดันไปติดตั้ง ในกรณีถ้าคิดว่าเอาอยู่ เพื่อช่วยให้เกษตรกรที่เขาทำนากุ้ง แถบชายทะเล ตรงนี้ ได้ไม่ต้องเจอกับปัญหาน้ำกร่อยเนื่องจากน้ำเหนือซึ่งเป็นน้ำจืดไหลมารวมกันกับน้ำทะเล แถบจังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย สมุทร...ทั้งหลาย พอน้ำลง น้ำทะเลไม่หนุน ก็รีบผลัก และสูบออก น้ำจะได้ไม่ขังอยู่ในทุ่ง อย่างเช่นเป็นรอยต่อจากนครปฐมก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น้ำเหนือจะมาตลบจากทางด้านหลังได้ ก็ใช้วิธีเดียวกันป้องกัน
ในปีที่แล้วน้ำท่วมตรงนี้ถ้าติดตั้งแบบนี้ไว้ก็บรรเทาความเสียหายได้เยอะ
****
ศักยภาพการระบายน้ำออกสู่ทะเลถ้าดูศักยภาพการระบายน้ำข้อมูลพื้นฐานจริงๆ จะเห็นว่าทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จากพื้นที่ปทุมธานีถึงสมุทรปราการสามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ประมาณ 26 ล้านลบ.ม.ต่อวัน และสามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำบางปะกงได้ประมาณ 21 ล้านลบ.ม.ต่อวัน และสามารถผันน้ำออกสู่อ่าวไทยโดยตรงได้ประมาณวันละ 25 ลบ.ม.ต่อวัน ส่วนทิศตะวันตกสามารถระบายลงสู่แม่น้ำท่าจีนได้วันละ 32.18 ล้านลบ.มต่อวัน (มติชน) แต่ในเชิงปฏิบัติจริงจะได้เท่าไรนั้นคงต้องดูปริมาณน้ำทั้งหมด และพิจารณาว่าควรจะผันน้ำออกที่บริเวณใดจึงจะทำให้น้ำออกสู่ทะเลได้เร็วที่สุดและสามารถลดแรงดันน้ำต่อกำแพงสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
ทีนี้มาเจาะเส้นทางระบายน้ำฝั่งตะวันตก
เส้นแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นนี้จะรับน้ำ เส้นคลองเปรม
ป้องกันน้ำท่วมปี 2555 ไม่ใช่ของเล่น
กรุงเทพ...ต้องเตรียมพื้นที่รับน้ำเอาไว้ก่อน คือเคลียร์คลองในกรุงเทพให้แห้งกิ๊ก...เลยนะครับ แล้วก็เตรียมพื้นที่ระบายน้ำสำรองไว้ด้วย (ให้นึกถึงพื้นที่คลองส่งน้ำที่มีพื้นที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งข้างบนและฝั่งข้างล่าง ลองนึกดูสิว่ายังมีพื้นที่ไหนที่สามารถรองรับปริมาณน้ำเพิ่มได้บ้าง จากปริมาณน้ำปกติ ให้สำรองพื้นที่ตรงนั้นไว้อย่าให้น้ำเข้าไป แต่เก็บไว้เป็นพื้นที่เผื่อเหลือเผื่อขาดเพื่อรอรับน้ำสำรองที่อาจท่วมเนื่องจากพื้นที่ในกรุงเทพระบายย้ำไม่ทัน)
ความหมายของพระราชดำรัส ท่านให้ระมัดระวังช่วงรอยต่อของคลองภายในกรุงเทพแต่ละคลองว่าความกว้างของคลองมันกว้างเท่าไหร่ กว้างกี่เมตรแล้วก็เปรียบเทียบช่วงรอยต่อดูสิว่าตรงไหนแคบหรือกว้างกว่ากัน เช่นคลองที่ 1 กว้าง 5 เมตร คลองที่ 2 กว้าง 3 เมตร แล้วสองคลองนี้มันต่อกันน้ำไหลมา มันก็ต้องท่วมพื้นที่ตอนล่างของคลองแน่นอน วิธีแก้ไม่ให้ท่วม คุณก็ไปเอาเครื่องผลักดันมาตั้งตรงรอยต่อของคลอง เสร็จแล้วก็ลองคำนวณปริมาณไหลเข้า ไหลออก (จำลองจากโมเดลดูก็ได้) ดูซิว่าความถี่ ความไวของการไหลเป็นเท่าไหร่ (มันมีเครื่องวัดอยู่) ทีนี้ก็มาคำนวณหาค่าชดเชยเอาว่าจะต้องตั้งกี่เครื่อง..ก็คิดจะช่วงกว้าง 2 เมตรที่หายไป จากคลองที่ 1 น้ำไหลเท่าไหล เราก็ลบจาก 3 เมตรของน้ำที่ไหลออกไป ผลก็จะได้ช่วงกว้างน้ำ ที่ขาดหายไปก็เท่ากับ 2 เมตรของคลองด้านบน จากนั้นเราก็มาคำนวณกับเครื่องดันน้ำว่ามันดันด้วยความเร็วเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่ ก็เทียบบัญญัติไตรยางค์ไป แล้วก็เอาเครื่องไปติดไว้ตรงรอยต่อ พอน้ำไหลมา ก็ดันให้เร็วขึ้น ....ทางข้างหน้าต้องเป็นอย่างไร ต้องเรียบและโล่ง น้ำจะได้ไปไวไว ( เอาแค่นี้ก่อน ...แค่ว่าน้ำฝนตกลงมาแล้วกทม.เอาอยู่หรือเปล่า ...เพราะว่าน้ำในกทม.เขาถูกแบบไว้ระบายน้ำฝนส่วนเกินที่ท่วมพื้นที่ในกรุงเทพเท่านั้น (ใช่ไม๊)
** เขาไม่ได้มีคลองในกทม.ไว้รองรับน้ำจากภาคเหนือที่ไหลบ่าลงมานะครับ น้ำเหนือเขาออกแบบทางไว้แล้วให้ระบายออกทางด้านข้าง ก็คือเอาคลองรังสิตทั้งสายเลย เป็นฐาน ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำกั้นไว้ ประมาณว่ากำแพงกั้นน้ำที่กำลังทำใหม่อยู่ในขณะนี้นั่นเอง แต่....มีกำแพงชั้นนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่ากำแพงด้านนอกคุณจะไม่กั้น กำแพงด้านนอกคุณก็ต้องกั้น เคยวางกระสอบก็ต้องวางกระสอบ (ไปเตรียมมาไว้เลย...กระสอบ อย่างไรก็ต้องได้ใช้ เพราะถ้าคุณไม่มีแผนกั้นน้ำที่เป็นแนววางกระสอบเดิม แปลว่า...คุณจะปล่อยให้น้ำท่วมข้างนอกเหมือนปีก่อนเด๊ะๆ แต่ เขาได้ทำการกั้นพื้นที่สำคัญๆประเภทที่เป็น นิคมอุตสาหกรรม สถานที่ท่องเที่ยว...ทำหรือยัง มีมาตรการอย่างไร (ขนของขึ้นที่สูงแล้วจะคนไปไว้ที่ไหน...เอาคนนอนแช่น้ำเหมือนปีก่อน หรือจะให้เขาอยู่กันอย่างไร จะมีเรือกี่ลำจอดเป็นทางเข้าออกเพื่อการเดินทางกี่ลำคุณก็ว่าไป (ชาวบ้านเขาจะได้เตรียมตัวถูก) แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ไปเตรียมพื้นที่คอนโดเอาไว้เลย 1 ชุด เอาสูงๆ เอาหลายๆห้องด้วย แล้วข้างล่างสักชั้นที่ 2 คุณก็เอาสะเบียงไปเก็บสะสมเอาไว้ เตรียมไว้ให้เป็นยุ้งข้าวเลย ถามว่าถ้าน้ำมา เอาไม่อยู่จริงๆ คุณก็อพยพคนไปอยู่ที่นี่ เตรียมช่องทางการเดินทางไว้ให้เขาแล้วก็ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า...ที่นี่มาอยู่ได้...มาอยู่ได้ถ้าน้ำท่วมบ้าน ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ก็ให้มาอยู่ที่นี้ ...ทำเป็นศูนย์ลี้ภัยเตรียมไว้ไม่เป็นเป็นหรือครับ (เงินเบิกไปตั้งเยอะ...เอาไปทำอะไรหมด) ทำไมไม่เอาไปซื้อของ พวกที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้า (ก็เอาเท่าที่จำเป็น...จะรอของบริจาคอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเวลาน้ำมา มันมาเยอะ ประชาชนก็วิ่งหัวชนกัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่มี ...งานในส่วนนี้จะไม่มีคนรับผิดชอบ*** ตรงนี้เป็นช่องว่าง
คราวที่แล้วแก้ปัญหาโดยการใช้อาสาสมัคร คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะยังอยู่ที่เดิม รอให้คุณใช้ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าทรัพยากรจะมีเหมือนเดิม การขนส่ง ปูนทราย มีสแปรไว้แล้วหรือยัง......นี่มันการเตรียมการรองรับน้ำระดับตำนานเลยนะครับ คุณทำเล่นๆได้อย่างไร (ตกกระโหลกแตกดีมั้ย)
ลำพังน้ำในกรุงเทพ น้ำท่วมเพราะฝนตกนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีน้ำเหนือไหลลงมาทับด้วย ตัวใครตัวมัน ....ช่วยไม่ทันแล้ว นอนแช่น้ำไปได้เลย เพื่อความปลอดภัย แผนกั้นน้ำต้องเริ่มวางตั้งแต่ก่อนน้ำเข้าอยุธยา ไปสำรวจคลองดูเอาอยู่หรือเปล่า...ไม่ต้องไปดูก็รู้ เอาไม่อยู่ เพราะน้ำท่วมอยุธยาทุกปี ปีนี้ก็ต้องท่วม แต่คุณป้องกันได้ ทำไมไม่ป้องกัน คุณลงพื้นที่ คุณไปดูอะไรมาบ้าง ช่วงรอยต่อของแม่น้ำกับคลองในกรุงศรีอยุธยา ได้ไปสำรวจหรือยัง มีมาตรการอะไรรองรับบ้าง ถ้ามีน้ำท่วมจุดหนึ่งภายในกรุง คุณจะระบายน้ำไปทางไหน ...ตอบได้หรือยัง เพราะว่าต้องไม่ลืมว่าแนวกั้นน้ำตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว จากคันกั้นน้ำของนิคมอุตสาหกรรม ทีนี้ถ้าเอาไม่อยู่ ตัดพื้นที่ตรงอุตสหกรรมออก น้ำจะมาเยอะกว่าปีก่อนอีก และก็สูงกว่าเดิมด้วย เพราะอะไร....เพราะพื้นที่รับน้ำที่เคยเป็นนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่น้ำเคยเข้าไปท่วมหายไปแล้ว คุณจะเอาน้ำไปไว้ที่ไหน...จะระบายไปทางไหน จะสูบออกได้ตรงไหน บ้าง...ถ้าตรงนี้ตอบไม่ได้ ก็เสี่ยงนอนในน้ำเข้าไปอีก
...............
ประเด็นสำคัญก็คือแนวคันกั้นน้ำทั้ง 2 ข้าง ทั้งทางฝั่งศิริราช และฝั่งตรงข้าม ปีที่แล้วทำกำแพงกระสอบทรายกี่ชั้น แล้วปีนี้เอากำแพงกระสอบทรายออก แล้วชดเชยด้วยอะไร กำแพงเหล็กเปล่าๆ หรืออะไร ไม่ต้องปูกระสอบแล้วแน่นะ หาญไปหรือเปล่า
ฝั่งตรงข้ามศิริราช วางกำแพงกั้นหรือยัง สูงกี่เมตร คำนวณความสูงเผื่อปริมาณน้ำเหนือหรือยัง เพราะเส้นเจ้าพระยานี้ต้องรับน้ำหมดทั้งจากฝั่งตะวันออกที่ไหลลงไปจากทางตอนเหนือ แล้วปันให้ไหลออกมาทางซีกปทุมธานี ผ่านคลองรังสิต เส้นนี้ต้องแข็งทั้งเส้น ถามว่าทำไมต้องวางให้แข็ง เพราะระบบการบริหารจัดการน้ำของคุณเชื่อไม่ได้ เอาแน่อะไรไม่ได้สักอย่าง เลย ให้การไปคนละทางสองทาง ยังหาจุดเชื่อมโยงทางน้ำไม่เจอเลย ถามว่ารู้ได้อย่างไร ตอบว่ารู้ได้เพราะน้ำคุณไหลไม่มีความต่อเนื่อง น้ำทุกวันนี้ที่ไหลจากเหนือลงไม่เป็นสาย แต่จะกลายเป็นน้ำบ่า คือไหลมาเป็นหน้ากระดาน ไหลมาเป็นผืนๆ แล้วถ้าน้ำส่วนนี้มาเจอกับน้ำในทุ่งที่คั่งอยู่เพราะน้ำฝน............อีก เป็นอันจบข่าว หมดทางไป ถามว่ารู้ได้อย่างไร รู้จากข่าวภัยแล้งของคุณที่รายงานออกมาในแต่ละพื้นที่ไงครับ มันฟ้องว่าระบบชลประทานคุณไม่ดี ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีระบบชดเชยการส่งน้ำเลย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่น้ำล่างแห้ง แต่น้ำท่วมไหลมารวมกันตรงกลาง แล้วบอกน้ำแล้งอยู่ตรงปลาย ...........รายงานอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ฟังรายงานข่าวจากพื้นที่น้ำแล้ง ก็รู้แล้วว่าโกหก...เพราะมีน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ แต่พอมาถึงช่วงปลายน้ำหรือตอนเหนือ แถบ พิษณุโลก ข้ามมาฝั่งสุรินทร์ ศรีษะเกต ........ภาพมันบอกว่าคุณไม่ได้มีการระบายน้ำแบบคลองส่งคลอง หรือที่เราเรียกว่าคลองโยงน้ำ เพราะถ้ามีระบบไหลตัวนี้รองรับน้ำอยู่ปัญหาน้ำแล้งจะต้องไม่มี ...แต่นี้มีทั้งที่น้ำในเขื่อนแห้งเกือบสนิท แปลว่าคุณปล่อยน้ำออกหมด ไม่มีกักเก็บไว้ในระบบที่เป็นคลองส่งน้ำ ที่ทำไว้เป็นลำคลองสายเล็กๆ ไม่มีแน่นอน
***คำถามคือน้ำท่วมแล้วน้ำหายไปไหน ............นี่สิข้อสงสัย ว่าน้ำหายไปไหน น้ำไม่ได้ไหลลงทะเล ไม่ได้อยู่ในแม่น้ำ ไม่ได้อยู่ในทุ่ง แล้วน้ำหายไปไหน เขื่อนก็ไม่มีน้ำ ถ้าน้ำไหลลงแม่น้ำมันก็ต้องไหลผ่านลำคลอง ไหลผ่านห้วยหนองคลองบึง แต่นี้น้ำหายไปเฉยๆ น้ำหายไปไหน ...สันนิษฐานได้ทางเดียวคือระบบส่งน้ำของคุณไม่มีความเชื่อมโยง มั่นใจ...ต้องมีบางจุดที่น้ำไหลออกทะเลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรายงานน้ำฝนจะต้องไม่ออกมาเป็นอย่างนี้...................ต้องมีคนโกหก 100 %
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555
สร้างโลกทัศน์ที่ดีให้แก่การเมืองจะดีกว่ามั้ย
ทำอย่างไรคนไทยจึงจะใช้น้ำมันราคาถูกและไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าน้ำมันให้กับต่างประเทศแบบทุกวันนี้
--
ถ้าสังคมช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ลองปรับเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็น
ให้สอดคล้องกับรูปแบบแนวคิด Creative ในปัจจุบัน เพื่อสร้างโลกทัศน์ที่ดีให้แก่การเมืองจะดีกว่ามั้ย
--
ถ้าสังคมช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ลองปรับเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็น
ให้สอดคล้องกับรูปแบบแนวคิด Creative ในปัจจุบัน เพื่อสร้างโลกทัศน์ที่ดีให้แก่การเมืองจะดีกว่ามั้ย
ผมนั่งอ่านมุมมองและความคิดของนักปราชญ์และผู้รู้ด้านประชาธิปไตยแล้วผมเกิดไอเดียบางอย่างเกิดขึ้นมา
และผมมองว่าเป็นความคิดต่างและมองมุมต่างในแง่ดี ที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาในเรื่องของความแตกต่างทางด้านความคิดและความขัดแย้งในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดีนะครับ เพราะโดยส่วนมากคนไทยมักมองคนที่มีความคิดเห็นในมุมต่างเป็นศัตรูที่อยู่ตรงกันข้ามกับความคิดของตน เลยกลายเป็นว่าการมองมุมต่างเพียงมุมมองเดียว สามารถทำให้เกิดผลความเห็นขัดแย้งที่แพร่สะพัดไปได้อีกหลากหลายมุมมองทีเดียว
นั่งอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างๆในทางการเมืองแล้วทำให้ผมมองเห็นความเป็นอัตตาของมนุษย์มากขึ้นได้อย่างชัดเจน การที่คนทุกวันนี้จับกลุ่มสุมศีรษะนินทา เอ้ย..ให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนกันโดยถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นทางความคิดของคนแต่ละคนนั้น ส่วนตัวผมมองว่ามีประโยชน์แต่มุมมองหลักที่ประชาชนคนไทยควรร่วมมือร่วมใจกันสร้างให้เห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้ในวันนี้น่าจะเป็นเรื่องของมุมมองและความเห็นที่จะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์เสียมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อเห็นใครสักคนที่เราไม่ชอบเดินคุยมากับใครสักคนที่เราเองก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แต่บังเอิญวินาทีนั้นเพื่อนใหม่ของคุณคนนี้ดันเดินเข้ามาหาคุณพร้อมกับคนที่เป็นศัตรูกับคุณ ผมกล้าพนันได้เลยนะครับว่า หลังจากช่วงเวลาแห่ง first impression ผ่านไป หากบังเอิญว่ามีบางอย่างที่สร้างความไม่พอใจขึ้น กับพื่อนใหม่คนนี้คุณจะมองหน้ากันไม่ได้อีกเป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน เพียงเพราะเหตุผลที่ว่าอคติเกิดจากการไม่ชอบขี้หน้าศัตรูคุณพาดพิงอิงมาถึงเพื่อนใหม่นี้ด้วย ถามว่ามีเหตุผลอะไรมั้ย...สำหรับคนที่วางหัวใจเป็นกลางได้อย่างแท้จริง ผมบอกได้เลยว่ามีแต่น้อย แต่ความคิดและมุมมองเช่นที่ผมว่ามานี้ จะให้ผลที่ดีมากๆกับบุคคลที่มีความเห็นในเรื่องส่วนตัว (ขอย้ำว่าเป็นความเห็นที่เป็นส่วนตัว) ที่มีต่อตัวบุคคล และจะช่วยลดความเป็นตัวตนของบุคคลที่มีอำนาจในสังคมลงได้มากทีเดียว ด้วยเหตุผลที่อย่างน้อยที่สุด คุณได้ตัดเอาความเป็นหัวโขนของคนๆหนึ่งที่เดินถือออกมาจากบ้าน เก็บเข้ากระเป๋าไป คนๆนี้ก็จะเหลือเพียงหัวโขนที่แสดงออกได้ทางไอเดียหรือความคิดแบบ Creative ได้อย่างเดียวแล้วนะครับ เพราะว่าคุณถอดเอาหัวโขนของเขาออกไปแล้ว
เหลือก็แต่เพียงบทบาท ภาระและหน้าที่ที่จะต้องมีในตัวบุคคลที่ดำรงอยู่เท่านั้น เมื่อเราถอดเอาความคิดเห็นที่เป็นเฉพาะในมุมมองของความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานในหน้าที่ของคนๆนั้น จะสะท้อนให้คนในสังคมมองเห็นความสำคัญในตัวของคนๆนั้นที่มีต่อความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ มากกว่าที่จะพุ่งประเด็นลงไปขุดคุ้ยค้นหาว่าต้นตระกูลนับแต่โบราณนานมา บุคคลผู้นี้เป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน เพราะสำหรับผม...สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เขาคนนั้นกำลังกระทำอยู่ ณ เวลาในปัจจุบันขณะนั้น ซึ่งสมควรเป็นสิ่งที่คนในสังคมควรหยิบขึ้นมาคิดพิจารณามากกว่าที่จะไปเอาใจใส่ในเรื่องของที่มาที่ไปของเขา ผมเชื่อว่า หน้าที่การงานมีความสำคัญมากกว่าตัวบุคคล และมันสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เขากระทำได้ชัดเจนกว่าการจินตนาการตัวเองขึ้นมาสักตัวหนึ่ง แล้วให้ตัวอวตารตัวนี้เล่นบทต่างๆในสังคมตามพื้นฐานและหน้าที่สามัญ นอกจากจะช่วยลดในเรื่องของการใช้อำนาจและอิทธิพลส่วนบุคคลด้วยแล้ว ยังเป็นการลดและแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เป็นปัญหาต่อการปรองดองของประเทศชาติขณะนี้ด้วยนะครับ
ผมมองว่า...คนไทยน่าจะเลิกใส่ใจที่ตัวตนของคนแล้วหันมาให้ความสำคัญ กับเนื้องานที่คนๆนั้นรับผิดชอบมากกว่าจะมาด่ากันสาดเสียเทเสีย โดยต่างคนต่างหยิบความไม่ได้เรื่องของตัวเองมาประณามคู่ต่อสู้ ...เพราะต่อให้ฝีปากกล้าแค่ไหน...ถ้าไม่ด่าไปให้ลึกถึงตัวเนื้อหาสาระที่คนๆนั้นทำ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงลงไปที่ตัวเนื้องานเสียที ความสร้างสรรค์ที่ควรจะมีภายหลังการวิพากษ์วิจารณ์นั้นคงจะเกิดได้น้อยมาก อีกทั้งตัวอย่างเนื้อหาสาระที่มักหยิบมาเป็นหัวข้อปะทะคารมกันเท่าที่ผมสังเกตส่วนมากหาจุดลงแทบไม่ได้เลย คือเป็นคำค้านความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดที่สร้างสรรค์ Creative หรือ imagination ขึ้นมาได้เลย สำหรับผม...มองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลในลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์ที่น้อยกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของวิชาการที่จะมาพร้อมกับเนื้องานหรือผลงานที่คนๆนั้นรับผิดชอบดูแลอยู่
และผมมองว่าเป็นความคิดต่างและมองมุมต่างในแง่ดี ที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาในเรื่องของความแตกต่างทางด้านความคิดและความขัดแย้งในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดีนะครับ เพราะโดยส่วนมากคนไทยมักมองคนที่มีความคิดเห็นในมุมต่างเป็นศัตรูที่อยู่ตรงกันข้ามกับความคิดของตน เลยกลายเป็นว่าการมองมุมต่างเพียงมุมมองเดียว สามารถทำให้เกิดผลความเห็นขัดแย้งที่แพร่สะพัดไปได้อีกหลากหลายมุมมองทีเดียว
นั่งอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างๆในทางการเมืองแล้วทำให้ผมมองเห็นความเป็นอัตตาของมนุษย์มากขึ้นได้อย่างชัดเจน การที่คนทุกวันนี้จับกลุ่มสุมศีรษะนินทา เอ้ย..ให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนกันโดยถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นทางความคิดของคนแต่ละคนนั้น ส่วนตัวผมมองว่ามีประโยชน์แต่มุมมองหลักที่ประชาชนคนไทยควรร่วมมือร่วมใจกันสร้างให้เห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้ในวันนี้น่าจะเป็นเรื่องของมุมมองและความเห็นที่จะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์เสียมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อเห็นใครสักคนที่เราไม่ชอบเดินคุยมากับใครสักคนที่เราเองก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แต่บังเอิญวินาทีนั้นเพื่อนใหม่ของคุณคนนี้ดันเดินเข้ามาหาคุณพร้อมกับคนที่เป็นศัตรูกับคุณ ผมกล้าพนันได้เลยนะครับว่า หลังจากช่วงเวลาแห่ง first impression ผ่านไป หากบังเอิญว่ามีบางอย่างที่สร้างความไม่พอใจขึ้น กับพื่อนใหม่คนนี้คุณจะมองหน้ากันไม่ได้อีกเป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน เพียงเพราะเหตุผลที่ว่าอคติเกิดจากการไม่ชอบขี้หน้าศัตรูคุณพาดพิงอิงมาถึงเพื่อนใหม่นี้ด้วย ถามว่ามีเหตุผลอะไรมั้ย...สำหรับคนที่วางหัวใจเป็นกลางได้อย่างแท้จริง ผมบอกได้เลยว่ามีแต่น้อย แต่ความคิดและมุมมองเช่นที่ผมว่ามานี้ จะให้ผลที่ดีมากๆกับบุคคลที่มีความเห็นในเรื่องส่วนตัว (ขอย้ำว่าเป็นความเห็นที่เป็นส่วนตัว) ที่มีต่อตัวบุคคล และจะช่วยลดความเป็นตัวตนของบุคคลที่มีอำนาจในสังคมลงได้มากทีเดียว ด้วยเหตุผลที่อย่างน้อยที่สุด คุณได้ตัดเอาความเป็นหัวโขนของคนๆหนึ่งที่เดินถือออกมาจากบ้าน เก็บเข้ากระเป๋าไป คนๆนี้ก็จะเหลือเพียงหัวโขนที่แสดงออกได้ทางไอเดียหรือความคิดแบบ Creative ได้อย่างเดียวแล้วนะครับ เพราะว่าคุณถอดเอาหัวโขนของเขาออกไปแล้ว
เหลือก็แต่เพียงบทบาท ภาระและหน้าที่ที่จะต้องมีในตัวบุคคลที่ดำรงอยู่เท่านั้น เมื่อเราถอดเอาความคิดเห็นที่เป็นเฉพาะในมุมมองของความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานในหน้าที่ของคนๆนั้น จะสะท้อนให้คนในสังคมมองเห็นความสำคัญในตัวของคนๆนั้นที่มีต่อความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ มากกว่าที่จะพุ่งประเด็นลงไปขุดคุ้ยค้นหาว่าต้นตระกูลนับแต่โบราณนานมา บุคคลผู้นี้เป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน เพราะสำหรับผม...สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เขาคนนั้นกำลังกระทำอยู่ ณ เวลาในปัจจุบันขณะนั้น ซึ่งสมควรเป็นสิ่งที่คนในสังคมควรหยิบขึ้นมาคิดพิจารณามากกว่าที่จะไปเอาใจใส่ในเรื่องของที่มาที่ไปของเขา ผมเชื่อว่า หน้าที่การงานมีความสำคัญมากกว่าตัวบุคคล และมันสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เขากระทำได้ชัดเจนกว่าการจินตนาการตัวเองขึ้นมาสักตัวหนึ่ง แล้วให้ตัวอวตารตัวนี้เล่นบทต่างๆในสังคมตามพื้นฐานและหน้าที่สามัญ นอกจากจะช่วยลดในเรื่องของการใช้อำนาจและอิทธิพลส่วนบุคคลด้วยแล้ว ยังเป็นการลดและแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เป็นปัญหาต่อการปรองดองของประเทศชาติขณะนี้ด้วยนะครับ
ผมมองว่า...คนไทยน่าจะเลิกใส่ใจที่ตัวตนของคนแล้วหันมาให้ความสำคัญ กับเนื้องานที่คนๆนั้นรับผิดชอบมากกว่าจะมาด่ากันสาดเสียเทเสีย โดยต่างคนต่างหยิบความไม่ได้เรื่องของตัวเองมาประณามคู่ต่อสู้ ...เพราะต่อให้ฝีปากกล้าแค่ไหน...ถ้าไม่ด่าไปให้ลึกถึงตัวเนื้อหาสาระที่คนๆนั้นทำ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงลงไปที่ตัวเนื้องานเสียที ความสร้างสรรค์ที่ควรจะมีภายหลังการวิพากษ์วิจารณ์นั้นคงจะเกิดได้น้อยมาก อีกทั้งตัวอย่างเนื้อหาสาระที่มักหยิบมาเป็นหัวข้อปะทะคารมกันเท่าที่ผมสังเกตส่วนมากหาจุดลงแทบไม่ได้เลย คือเป็นคำค้านความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดที่สร้างสรรค์ Creative หรือ imagination ขึ้นมาได้เลย สำหรับผม...มองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลในลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์ที่น้อยกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของวิชาการที่จะมาพร้อมกับเนื้องานหรือผลงานที่คนๆนั้นรับผิดชอบดูแลอยู่
และการจะด่ากร่น
ขุดชาติตะกูลมาด่าใส่กันอย่างทุกวันนี้ เรื่อยๆ
ต่อไปมันจะกลายเป็นประเด็นปัญหาที่ทำให้คนในสังคมเข้าหน้ากันไม่ติด
จะเดินไปไหนมาไหนก็ต้องใส่หน้ากากที่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี...ผมมองว่ามันทำให้เรื่องบางเรื่องจบลงได้ยาก
เหตุผลก็เพราะการถกเถียงกันในลักษณะเน้นไปที่อัตตาของบุคคลแต่ละคนนั้น
ผลร้ายที่สุดก็คือการมองหาความเป็นตัวตนของตัวเองไม่เจอ ต้องเป็นคนประเภทที่มีความกล้าเท่านั้นที่จะผลักดันตัวเองขึ้นไปยืนอยู่แถวหน้าๆในสังคมทุกวันนี้ได้
เลยกลายเป็นว่าใครพูดเก่ง ฝีปากเก่ง ให้ความอารักขาลิ้นของตนเองได้ดี
มันจะเป็นตัวผลักดันและสนับสนุนให้คนๆนั้นเติบโตและมีคุณค่าขึ้นมา
โดยการใช้วาจาและคำพูดเป็นอาวุธนั้นเองนะครับ
การวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะนี้ก็ให้เกิดช่องว่างและความเสียหายต่อบุคคลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากเสียยิ่งกว่าการหยิบเรื่องส่วนตัวสักเรื่องไปกรุข่าวและสร้างประเด็นโจษขานขึ้นมา
ดังที่ใครๆชอบกล่าวว่าผลักดัน เจ็ดัน
อะไรประมาณนี้นะครับ สิ่งที่ผมห่วงก็เพราะความเห็นในลักษณะนี้สามารถสร้างความสับสนและยุ่งเหยิงกลับคืนให้กับสังคมได้ไม่สิ้นสุด
และอาจกลายเป็นประเด็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้หากว่ามีการเจรจาเพื่อปรานีประนอมกันในสังคมนั้นไม่ลงตัว
เนื่องจากที่มาและสาเหตุของความขัดแย้งจะถูกกัดกินลึกลงไปถึงเนื้อในความเป็นตัวตนของผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์
อธิบายได้ด้วยคำสั้นๆเลยนะครับว่าผลกระทบต่อบุคคลคนนั้นทุกแง่มุมเสียศูนย์ทันที
ไม่ว่าคุณงามความดีที่เขาสร้างและสั่งสมมาจะมีมากมายเท่าไหร่ ก็จะไม่เกิดประกายฉายแสงแห่งเหตุผลให้คนได้คิดเพราะมัวแต่ไปติดอยู่ในเยื่อหุ้มแห่งความมีตัวตน
หรือที่เราเรียกว่าอัตตาอยู่นั่นเองนะครับ--มุมมองของผมหากว่าต้องการจะวิพากษ์
วิจารณ์การเมือง ผมมองเอาเองนะครับ ว่าก็สมควรต้องอ้างอิงลงไปในเนื้อหาสาระและรายละเอียดของงานมากกว่าเดิม
อยากเสนอให้ให้มีผู้รู้หรือนักปราชญ์หยิบชิ้นงานที่กำลังเป็นที่ให้ความสนใจหรือกำลังเป็นประเด็นปัญหาเหล่านั้นขึ้นมานำเสนอและ
ช่วยกันชี้นำให้เกิดความรู้ถูก เข้าใจถูกให้กับคนในสังคม
(คล้ายกับการนำเสนอความจริงนั้นแหละนะครับ แต่เราตัดความเป็นตัวบุคคลออกไป
เพื่อช่วยกันสร้างความเข้าอกเข้าใจให้กับประชาชนมากที่สุดในเรื่องหรือหัวข้อที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ
และผมยังมองเห็นว่าการออกความคิดเห็นในลักษณะหยิบชิ้นปลามันนี้ค่อนข้างที่จะง่ายกว่าในการนำเสนอเหตุผล
เพื่อแก้ไขปัญหาหรือหักล้างอ้างอิงความคิดเห็นส่วนตัวของกันและกันนะครับ
หากคนในสังคมให้ความสำคัญลึกลงไปในเนื้อหาสาระในสิ่งที่ต้องการวิจารณ์มากกว่าการให้ความคิดเห็นส่วนตัว คือช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์การทำงานให้ออกมาในรูปแบบไม่ระบุตัวบุคคล
แต่สะท้อนให้เห็รแง่มุม Creative ได้อย่างสร้างสรรค์ บวกความมีจินตนาการ ผมมองว่าจะเป็นการแสดงออกถึงความคิดและมุมมองเป็นประโยชน์และสะท้อนถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่างๆได้เป็นอย่างดี โดยที่ผู้วิพากษ์วิจารณ์พยายามเลี่ยงที่จะหยิบเอาตัวบุคคลแต่ละบุคคลขึ้นมาสาธยายสารพันปัญหาที่เกี่ยวกับตัวเขา เกี่ยวข้องกับชีวิตที่เป็นส่วนตัวของเขา
และพยายามมองหาความน่าสนใจในมุมมองอย่างอื่นที่ควรมองเห็นได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปขุดคุ้ยถึงชาติตระกูลที่บ้าน
ผู้ให้กำเนิด บิดามารดาเป็นใคร ประกอบอาชีพอะไร
เพียงเพื่อเจตนาเดียวคือต้องการค้นหาผู้ที่จะมามีบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบให้กับสังคมในการทำหน้าที่ตรงนั้น มุมมองและประเด็นปัญหาจะเพิ่มเติมได้หลากหลาย
เกิดความคิดเห็นเชิง
creative หรือทฤษฎีความเข้าใจใหม่เป็นจำนวนมาก
ช่วยเพิ่มรอยหยักในสมองได้อีกเยอะทีเดียวนะครับ มุมมองของผมนะ...หากเราคนไทยเปลี่ยนการวิพากษ์วิจารณ์ให้เห็นมุมมองทางการเมืองที่สะท้อน
ให้สังคมเห็นความแตกต่างและความหลากหลายทางความคิดให้เห็นชัดเจนจนเกิดประโยชน์สูงสุดโดยสามารถนำความคิดเห็นนั้นเป็นตัวนำทางไปสู่ความคิดเห็นที่เป็นกลาง
ความคิดเห็นที่ถูกต้องและเป็นมุมมองมาตรฐานมากกว่าจะพยายามใส่ความรู้สึกของตัวเองลงไปในคำพูด ศักยภาพทางการเมืองของคนไทยในเรื่องของความคิดวิเคราะห์จะก้าวหน้าและเติบโตขึ้นเป็นอย่างดี อยู่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่สมัยนี้กล้าเพียงพอหรือไม่ที่จะปรับพฤตึกรรมและมุมมองของตนเองให้หันเข้าหายุคแห่งการสื่อสารด้วยระบบดิจิตัลของทุกวันนี้
.ซึ่งล้วนต่างเข้าใจดีว่ามันมีความแพร่ที่รวดเร็วมากน้อยเพียงใด
การถ่ายทอดความคิดเห็นในเนื้องานออกมาทางสังคม
ให้สังคมได้ช่วยกันคิด เห็นแล้วช่วยกันสร้างมุมมองต่อยอด ช่วยกันตกผลึกความคิดรวบยอดที่สมบูรณ์ออกมา
น่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถนำเสนอเพื่อเป็นทางออกของความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดจากความเห็นต่างในวันนี้ได้อีกระดับหนึ่ง
อีกทั้งยังเป็นการฝึกให้ตนเองเป็นคนที่คิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ ไม่คิดลบ คิดเห็นอะไรก็จะมีความเป็นกลางมากขึ้น
ซึ่งความเห็นในลักษณะที่เป็นกลางเหล่านี้
จะสะท้อนให้เห็นความเป็นเนื้อเดียวกันทางความเห็นของสังคมนั้นๆได้อีกระดับหนึ่งทีเดียว จะไม่ลองทบทวนและวกกลับความคิดสักนิดดูหรือครับ
ผมมองว่ามันมีประโยชน์กว่าการสาดสีเข้าหากัน และยังช่วยเป็นยาปรองดองผสานหัวใจที่แตกร้าวในสังคมได้ด้วย
วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
กรดไนตริก (HNO3)
กรดไนตริก (HNO3) เป็นของเหลวใส ไม่มีสี สีเหลืองอ่อน หรือสีชา กลิ่นฉุน เป็นกรดแก่
น้ำหนักโมเลกุล 63.01 จุดเดือด 83 องศาเซลเซียส ความถ่วงจำเพาะ 1.5 ความดันไอ 4.3
มม.ปรอทที่ 20องศาเซลเซียส ระเหยได้เล็กน้อย ละลายน้ำได้ดี
เป็นสารออกซิไดเซอร์อย่างแรง เกิดปฏิกิริยารุนแรงกับสารตัวทำละลายอินทรีย์ส่วนมาก
ไวต่อการสั่นสะเทือนและการเสียดสี ซึ่งอาจทำให้ระเบิดได้ แต่ไม่ติดไฟ
เมื่อได้รับความร้อนสูงหรือถูกแสงแดดจะสลายตัวเกิดก๊าซพิษไนโตรเจนไดออกไซด์
กรดไนตริกสามารถกัดกร่อนโลหะทุกชนิด ยกเว้นเหล็กกล้าไร้สนิมและอะลูมิเนียม
แหล่งกำเนิดส่วนใหญ่ผลิตจากไนโตรเจนในอากาศโดยกรรมวิธีต่างๆ
เช่น ใช้ประกายไฟทำให้รวมตัวกับออกซิเจนเกิดไนโตรเจนมอนอกไซด์
และทำปฏิกิริยาต่อก๊าซออกซิเจน หินปูน และกรดซัลฟุริก จนได้กรดไนตริก
หรือการออกซิเดชั่นของแอมโมเนียกับอากาศโดยตัวเร่งแพลทตินัม (Platinum
catalyst)
ความเข้มข้นของกรดไนตริกในท้องตลาดมีความแตกต่างกันไป
เช่น ร้อยละ 38 (30 degrees) ไปจนถึงร้อยละ 90
หรือ 95 ซึ่งเรียกว่าฟูมมิงไนตริก (Fuming nitric) และมีความถ่วงจะเพาะประมาณ 1.6 กรดที่ใช้ทั่วไปมีความเข้มข้นประมาณน้อยละ
68 และมีสีชา เนื่องจากก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ที่ละลายอยู่ในกรดนั้น
อันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
หากหายใจเข้าไปจะระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ เมื่อเปรียบเทียบกับกรดซัลฟุริก
จะมีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อน้อยกว่าและมีความเป็นพิษเช่นเดียวกับกรดไฮโดรคลอริก
พิษเรื้อรังจากการสัมผัสช้า และนานๆ
ทำให้เกิดการบวมของเนื้อเยื่อปอดและทางเดินหายใจ มีการอักเสบเรื้อรังของปอดและท่อลม
ไอระเหยหรือละอองไอของกรดทำให้เคลือบฟันสึกกร่อน
การสัมผัสที่ผิวหนังทำให้บริเวณนั้นเป็นรอยคราบสีเหลือง
ต่างจากกรดไฮโดรคลอริกที่เป็นสีน้ำตาลหรือดำ
การกำหนดระบบมาตรฐานนั้น
นอกจากข้อกำหนดตามที่ระบบกำหนดไว้ในข้อกำหนด จึงมีความจำเป็นที่การปฏิบัติงานของบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ควรต้องเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
รับผิดชอบแทนกันได้
และมีการจัดตารางการใช้งานเครื่องมือวิทยาศาสตร์ชั้นสูงนั้นให้มีความเป็นอิสระจากการครอบครองของใครคนหนึ่งคนใด
โดยถือว่าเป็นของส่วนรวมรับผิดชอบร่วมกัน
และกลไกการปฏิบัติงานตามหน้าที่นั้นควรเป็นสิ่งที่บุคคลากรทุกคนต้องเคารพ
และเห็นชอบที่จะปฏิบัติตามด้วย การปฏิบัติงานราชการจะใช้ระบบพึ่งพาอาศัย
ค่าของคนอยู่ที่คนของใครนั้นไม่ใช่สิ่งอันสมควรจะเกิดขึ้นในสถานที่ราชการ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ
คือ แม้คน 2 คน จะมีเรื่องหมางใจกัน จนแทบจะฆ่ากันได้ แต่นั่นมิได้หมายความว่าคนทั้งสองคนนั้นจะทำงานร่วมกันไม่ได้
เพราะต่างคน ก็ต่างมีหน้าที่คือปฏิบัติงานราชการเหมือนกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิด ผู้เหนือบังคับบัญชาจึงสามารถว่ากล่าว ตำหนิ
ได้ตามหลักและเหตุผลของการกระทำผิด หาใช่ความถูกใจ จะมอบหมายงานให้ก็มอบ ไม่พอใจก็ไม่มอบงานให้ทำ
และประกาศต่อบุคคลอื่นว่าบุคคลนั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการตามตำแหน่งหน้าที่ได้
จะด้วยเหตุผลจากการหย่อนการบริหารของสายบังคับบัญชาหรือไม่อย่างไรนั้น
ข้าพเจ้าเห็นว่าการมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้บุคลากรแต่ละคนในหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานได้นั้น
ไม่สมควรยึดถือในเรื่องของตัวบุคคล
แต่ควรยึดถือและคำนึงในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ตนเองให้เหมาะสมมากกว่า เนื่องจากปัจจุบันได้มีการมอบหมายให้ทำการขอคำรับรองมาตรฐาน ISO/OEC 17025 และมีคำสั่งมอบหมายงานในหน้าที่ให้แก่เจ้าหน้าที่กลุ่มงานทุกคน
ตามปรากฎในตัวชี้วัด แต่ทว่าในทางปฏิบัติจริงนั้น
อาจยังติดขัดในเรื่องของกฎระเบียบและระบบศักดินาในสมัยเก่า
จึงทำให้อำนาจการสั่งการตามสายบังคับบัญชานั้นไม่เด็ดขาดและหนักแน่นพอ
กลายเป็นว่าบุคคลมาทำงานก่อน มีอำนาจเหนือการบังคับบัญชาของกฎแห่งการปฏิบัติหน้าที่
อันเป็นเหตุให้เกิดช่องว่างทำให้การปฏิบัติงานในสายงานภายในกลุ่มเป็นไปไม่ได้ตามมอบหมาย
คือมีการขอตัวบุคคลจากหน่วยงานอื่น เข้ามาทำหน้าที่ภายในกลุ่ม และในแต่ละวันบุคคลากรภายในกลุ่มไม่มีงานมอบหมายให้ปฏิบัติงานใดๆได้ ซ่างถ้าพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้น
แม้จะเป็นเรื่องของสายการบังคับบัญชา แต่ไม่มีบุคลากรในระดับเดียวกันสามารถแก้ไขปัญหาได้
ภาพที่ปรากฎเบื้องหลัง โดยไม่มีนัยสำคัญแห่งการอธิบายใดๆจึงทำให้บุคคลากรคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าไร้ความสามารถ
ไม่ทำงาน ไม่ปฏิบัติหน้าที่
ยังมาซึ่งความเสื่อมเสียในความเชื่อถือในการปฏิบัติงานของบุคคลนั้น
โดยปราศจากการไต่สวน ทบทวนความใดๆ
แม้การทำงานจะเป็นไปในลักษณะของพี่-น้อง ได้
แต่การบังคับบัญชาตามหน้าที่ไม่สมควรหายไปด้วย
การพิจารณาหาแนวทางแก้ปัญหาให้กรณีดังกล่าวนี้จึงสมควรว่าควรเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทางของปัญหามากกว่าการขุดค้นรากเหง้าแห่งความเสียหายและรอยบาดหมาง ทั้งการกำหนดและทบทวนระเบียบปฏิบัติงานของบุคคลากรในสังกัดจะแก้ปัญหาการทำงานรวมกันเป็นทีมไม่ได้แล้ว ยังเป็นแนวทางการดำเนินงานฟื้นฟู Carrier Path ของสายงานนั้นให้มีความต่อเนื่องและเป็นอิสระจากฐานันดรในสังคมได้ ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลากรที่ต้องพบเจอกรณีลักษณะดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือ และความเป็นธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการในสังกัดต่อไปได้ด้วยความเรียบร้อยและมีความก้าวหน้าในสาขาอาชีพที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นธรรม
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555
วิถีแห่งความลุ่มหลง-สงสัย
ฉันกำลังนั่งครุ่นคิดถึงการมีชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ ในสังคมนี้ ในวิชาชีพที่ตัวเองทำอยู่
ฉันอาจจะไม่ใช่คนฉลาดที่จะคิดนัก ด้วยเพราะบางอย่างฉันก็คิดไม่ได้ ฉันชอบนั่งมอง
ตัวเอง มองความเห็น ความคิดของตัวเอง แล้วก็หยิบมาวิพากร์วิจารย์ แล้วก็มักจะให้ผล
ลบกับตัวเองตลอด ฉันเข้าใจดีว่ามันเป็นการมองตัวเองในแง่ลบ แต่ฉันต้องการมองโลก
อย่างถูกต้อง มากกว่าที่จะมองเพื่อให้ถูกใจตัวเอง ใครได้ฟังความคิดเห็นแบบนี้ถ้าไม่สรุปว่า
ฉันเครียด เขาต้องว่าฉันคิดมาก แต่มันก็ถูกต้อง...ฉันชอบค้นหาความเป็นตัวตนของตัวเอง
ที่ฉันเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบเลย มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตมาก มากเสียจนฉัน
ต้องถามตัวเองว่าฉันทำอะไรได้บ้าง คำตอบที่ได้กี่ครั้งกี่หนก็เหมือนเดิม ในความเป็นจริงฉัน
ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากคิดกับพูดกับตัวเอง ทำไมฉันถึงไม่ค่อยสนใจเรื่องคนอื่นที่ควรใส่ใจ
อย่างผู้อื่นบ้าง คำตอบก็คือฉันมิได้ต้องการเป็นคนอื่น ฉันต้องการเป็นตัวฉันเอง
แต่สิ่งทีฉันมองย้อนกลับมาที่ตัวเองมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉันไม่มีศักยภาพอะไรมากเพียงพอที่จะ
เดินต่อไปข้างหน้าได้เลย ทุกสิ่งที่ฉันเริ่มทำ หัดทำ อยู่ต่อมาวันหนึ่งคนอื่นก็สามารถทำได้
และเขาทำได้ดีกว่าฉันเสียด้วย เพราะเขามีความรู้มากกว่า เหนือกว่า และสูงกว่า
ทุกครั้งที่ฉันพยายามจะถีบความรู้สึกตัวเองให้ขึ้นสูง สิ่งที่เจอเป็นด่านแรกเลย คือ เบรค
มันเหมือนว่าฉันถูกกดและข่มเหงด้วยความคิดบางอย่าง
เชื่อมั้ยว่าวันนี้ ถึงฉันจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่คนที่หลงอยู่ในวังวนความคิดตัวเองมาแรมปี
ถ้าคิดได้จากสติปัญญาจริง ฉันคงไม่นั่งทุกข์ใจอยู่เช่นนี้ ฉันค้นพบว่าตัวตนอันแท้จริงของฉันนั้น
หาได้มีอยู่ในโลกใบนี้ไม่ การมีตัวตนอันแท้จริงของฉันไม่มีอยู่ในสายตาผู้อื่น ด้วยเพราะความพร่อง
ที่ฉันมีมากเหลือเกิน ต่อให้มีคนเห็นอกเห็นใจความรู้สึกเหล่านี้แค่ไหน เขาก็ไม่มีวันเข้าใจในสิ่ง
ที่ฉันรู้สึกได้หรอก เต็มที่เขาก็ทำได้แค่คาดเดา แล้วคนอย่างฉันนี้น่ะหรือจะไปพึ่งพาอะไรได้
แม้ขนาด...ช่างเถอะ ฉันเพียงแต่กำลังจะบอกว่าฉันไม่ดีใจกับการที่ได้เป็นคนอื่น ได้ทำตามคนอื่น
เชิด หรือเป็นในสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เขาจะมาบอกฉันให้ฉันรู้สึกแย่กับเขาอีกเพื่ออะไร
ในเมื่อฉันก็พิจารณาความเป็นฉันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ถามว่าสิ่งที่เขาตัดสินฉันใช่ฉันทุกสิ่งหรือก็เปล่า แต่ฉันต้องอดทนรับฟังมันให้ได้ ต้องแข็งและยอมรับการวิพากษ์นั้นให้ได้ ใครก็พูดได้
ถ้าตัวเองไม่ใช่คนที่ยืนเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ตรงนั้น ใครบ้างในโลกใบนี้ที่จะรู้ถึงขีดจำกัดความสามารถ
ของตัวเองได้ดีเท่าตัวฉันเอง ในขณะที่ฉันวิพากษ์วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆนั้น ฉันมั่นใจว่าฉันใส่ความถ่อมตนลงไปในทุกๆครั้ง ฉันไม่เคยฮึกเหิม ลิงโลด หรือได้ใจไปกับบางสิ่งบางอย่างตามที่คนอื่นกล่าวอ้างว่าฉันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ฉันรู้ว่าฉันจะไม่ทำอะไร และนั่นคือขีดจำกัดของคนเขลา
อย่างฉัน แต่ทว่าฉันก็ยังไม่เคยรู้ความจริงเลยว่าแท้จริงแล้วฉันทำอะไรได้ถึงระดับไหน การใช้ชีวิต
อยู่ใต้ปีกของตัวเอง ไม่เห่อเหิม ไม่ลืมตัวกระดี๊กระด๊่า ใช่ฉันกล้าพอที่จะพูดเยี่ยงนี้ เพราะฉันมั่นใจ
ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวฉันจริงๆ และฉันคงยอมรับมันไม่ได้ด้วยถ้าตัวเองต้องผันตัวเองไปเป็นแบบนั้น
ฉันเองก็เกลียดนะ เกลียดความท้อแท้ เกลียดความบาดหมาง เกลียดความไม่เอาไหนของตนเอง
แต่ภายใต้ปีกของตัวเองนั้น ฉันต้องยอมรับว่าฉันกางปีกบางๆของฉันออกมาไม่ได้ ฉันยินดีและ
พอใจที่จะซุกตัวอยู่ใต้ปีกเล็กๆบางๆของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองยังพอได้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
แน่นอน มันต้องดีกว่าการถลากางปีกบางบินออกไปแล้วต้องไปเจอเหตุเภทภัยของใครก็ไม่รู้ส่งผล
กระทบมาให้ฉัน ฉันจะไม่มีวันเรียกตัวเองว่าผู้นำ ตราบใดที่ยังไม่มีการยอมรับในความเป็นตัวของฉัน
เอง เขาคิดและนึกแทนฉันไปเสียทุกอย่างไม่ได้ แม้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะให้ความบันเทิงเริงใจบ้างก็ตาม ฉันเกลียดความไม่ไว้วางใจ เกลียดสายตาและความคิดที่กดขี่และข่มเหงความพร่องของฉัน
เพราะฉันมิอาจปัด หรือปฎิเสธได้ว่าเขาไม่ได้กำลังพูดความจริง แต่เมื่อไรก็ตามถ้าฉันฮึดจะสู้ ตอบโต้
กลับขึ้นมา ฉันพบว่าสิ่งที่สะท้อนกลับมาคือความรังเกียจ ความหมางเมิน พร้อมกับคำว่าก้าวร้าว
เมื่อคนโผงผาง ตั้งตรงแหน่วอย่างฉันต้องเก็บกดความบ้า มุทะลุของตัวเองไว้ทุกๆวัน จินตานาการไป
ก็คงไม่ต่างจากภูเขาไฟดีๆนี่เล่า ที่มันมองจากข้างนอกไม่มีอะไร แต่ข้างในมันเต็มไปด้วยไฟที่ร้อนระอุ และสามารถประทุได้ตลอดเวลา จนบางคนถึงกับเอ่ยปากว่า ร้ายลึก คำถามหนึ่งก็คือการที่คนเราในสังคมมีความสุข สนุกกับการพิจารณามองคนอื่น สั่งสอนตักเตือนผู้อื่น เขาได้ทำการสำรวจตัวเอง
หรือยัง ฉันไม่สามารถทำให้คนที่มองมาที่ฉันทั้งร้อยคนพอใจในความเป็นฉันได้หรอก ซึ่งฉันก็ไม่แคร์ด้วย แต่เชื้อไฟที่มันระอุอยู่เป็นทุนเดิมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนั้น มันบันดาลให้เป็นความโกรธ ทั้งที่แท้จริง ฉันอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายกับคำพูดเหล่านั้นก็ได้ แต่เหมือนหม้อน้ำเดือดตั้งอยู่บนเตานั่นแหละ ใครจะมาแตะก็ไม่ได้ ฉันยอมรับว่าตัวเองร้อนเหมือนไฟ และพร้อมจะเผาไหม้อะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่พอใจหรือเกินขีดจำกัดความอดทนที่ฉันสะสมมา คนๆนั้น อาจจะเป็นผู้โชคร้ายโดยบังเอิญ
และเชื่อมั้ยว่าฉันจะไม่ได้โอกาสแก้ตัวหรือแก้ไขเป็นครั้งที่สองจากคนๆนั้นอีก ฉันไม่รู้เหมือนกันกันว่าทำไม คนบางคนเช้ามาก็จ้องมองมาที่ฉัน แทนที่จะสำรวจความเป็นปกติของตัวเอง กลับจ้องจับผิดคนอื่น ไม่มีคนดีที่ไหนหรอกที่จะอยู่ในที่ๆฉันยืนอยู่แล้วบอกว่าไม่เครียด เว้นเสียแต่เขาไร้ซึ่งความรู้สึกไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีแค่ไหนก็เถิด ฉันพนันได้ว่าไม่มีใครยืนอยู่ในที่ของฉัน ณ ปัจจุบัน
ได้ดีไปกว่าฉันอีก มันทั้งดื้อ ด้าน ทั้งอด ทั้งทน กับข้อจำกัดและขีดขอบเขตต่างๆ ให้ตายเหอะ เวลา
มองอะไรจากข้างนอก ทุกอย่างมันช่างง่ายที่จะประสานและทำความเข้าใจ ก็เหมือนการเมืองไทยปัจจุบัน ที่ฉันมองไปกี่ครั้ง กี่ครั้ง ฉันก็มองไม่เห็นปัญหาที่พวกเขามองว่าเป็นปัญหา เช่นเดียวกันฉันเองก็เชื่อมั่นว่าเขาเหล่านั้นเมื่อมองกลับมาที่ฉัน จะต้องมองว่าปัญหาของฉันไม่ใช่ประเด็นปัญหา แต่เป็นการปรับใจ วางใจ ไม่ถูกกับสถานการณ์จริงขณะนั้นก็เป็นได้ ยิ่งเพื่อนในแวดวงการเมืองมองมาที่ฉันและสรุปว่าฉันงี่เง่ามากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะถอยห่างจากฉันออกไปก็มีเพิ่มขึ้น หรือมากตามไปด้วย
แต่คนที่บ้ากว่านั้น เชื่อเถอะว่ายังมี ... คนชนิดนี้ชอบแส่ ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน รู้ไปหมดทุกเรื่อง
ยกเว้นเรื่องตัวเอง มีพร้อมทุกอย่างยกเว้นอนาคต ฉันอยากสะท้อนให้เห็นมุมมองที่ต่างกัน เพื่อให้เกิด
ความเข้าอกเข้าใจ คนตรงนั้นไม่ำเป็นต้องเป็นฉัน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะบอกว่าเขาทำในสิ่งที่ฉันทำได้ดีกว่าฉันก็จริง แต่ในพื้นฐานของความจริงก็คือเขาไม่ใช่ฉัน เขาแค่ทำในสิ่งที่คล้าย หรือเหมือนกัน แล้วฉันหรือใครก็หยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบเท่านั้นเอง มาถึงตรงนี้ฉันคงไม่ต้องอวดอ้าง
สรรพคุณ สรรพเคราะห์ สรรพโศก อะไรให้ใครฟังอีกหรอกว่าฉันทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง เพราะคนบ้าๆ
อย่างที่ฉันเป็นนี่ก็เหมือนหมาบ้านะ ถ้ามันได้กัด มันก็จะกัดไม่ยอมปล่อย มันจะติดตาม วิ่งไล่ ไม่ว่าเหนื่อย หอบ โดนขับไล่ไสส่งแค่ไหนมันก็จะไม่ไป ตรงกันข้ามเกิดไล่ๆกัดอยู่ดีกรีความบ้าเกิดลดลง
กระทันหัน มันก็อาจจะหยุดกัด หยุดวิ่ง หยุดไล่งับเสียเฉยๆ ก็เป็นไปได้ ฉันไม่มีความเป็นกลางให้ตัวเอง และพร้อมจะเอียงกะเท่เล่เมืื่อต้องชั่งน้ำหนักตนเองเสมอๆด้วยซ้ำไป ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันกำลังวิ่งไล่
วิ่งงับ ไล่กัดความเป็นประชาธิปไตยที่กระเด็นวืดผ่านหน้าไปหลัดๆ เมื่อไหร่ และก็ไม่รู้ว่าจะต้องวิ่งงับ
วิ่งไล่ไปทางไหนดี แต่เชื่อเถอะฉันจะไม่หยุดวิ่งไล่งับ ไล่ฟัด ความเป็นประชาธิปไตยตรงหน้า (มันกลิ้งหรุน หรุนผ่านมาเมื่อกี้นี้) จนกว่าฉันจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ฉันเสียมันไปไม่ได้ เพราะคอจะตก หูจะรี่ หางร่วงจุกก้น หยุดวิ่งงับวิ่งไล่กัดทันที ถ้าเพียงเพราะสิ่งนี้หายไป สิ่งนั้นก็คือ...
แล้วคุณล่ะ รู้สึกกับฉันแบบนี้บ้างไหม.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)