วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาน้ำท่วม ปี 2555 ไม่ใช่แค่เล่นๆ



เพื่อความไม่ประมาท...อย่าเชื่อรัฐบาลชุดนี้  เชื่อไม่ได้  ยังไงก็ไม่เชื่อ ไว้ใจไม่ได้สักคน....
กรุงเทพ...ต้องเตรียมพื้นที่รับน้ำเอาไว้ก่อน คือเคลียร์คลองในกรุงเทพให้แห้งกิ๊ก...เลยนะครับ แล้วก็เตรียมพื้นที่ระบายน้ำสำรองไว้ด้วย (ให้นึกถึงพื้นที่คลองส่งน้ำที่มีพื้นที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งข้างบนและฝั่งข้างล่าง ลองนึกดูสิว่ายังมีพื้นที่ไหนที่สามารถรองรับปริมาณน้ำเพิ่มได้บ้าง จากปริมาณน้ำปกติ ให้สำรองพื้นที่ตรงนั้นไว้อย่าให้น้ำเข้าไป แต่เก็บไว้เป็นพื้นที่เผื่อเหลือเผื่อขาดเพื่อรอรับน้ำสำรองที่อาจท่วมเนื่องจากพื้นที่ในกรุงเทพระบายย้ำไม่ทัน)
ความหมายของพระราชดำรัส ท่านให้ระมัดระวังช่วงรอยต่อของคลองภายในกรุงเทพแต่ละคลองว่าความกว้างของคลองมันกว้างเท่าไหร่ กว้างกี่เมตรแล้วก็เปรียบเทียบช่วงรอยต่อดูสิว่าตรงไหนแคบหรือกว้างกว่ากัน  เช่นคลองที่ 1 กว้าง 5 เมตร คลองที่ 2 กว้าง 3 เมตร แล้วสองคลองนี้มันต่อกันน้ำไหลมา มันก็ต้องท่วมพื้นที่ตอนล่างของคลองแน่นอน  วิธีแก้ไม่ให้ท่วม คุณก็ไปเอาเครื่องผลักดันมาตั้งตรงรอยต่อของคลอง เสร็จแล้วก็ลองคำนวณปริมาณไหลเข้า ไหลออก (จำลองจากโมเดลดูก็ได้) ดูซิว่าความถี่ ความไวของการไหลเป็นเท่าไหร่ (มันมีเครื่องวัดอยู่) ทีนี้ก็มาคำนวณหาค่าชดเชยเอาว่าจะต้องตั้งกี่เครื่อง..ก็คิดจะช่วงกว้าง 2 เมตรที่หายไป จากคลองที่ 1 น้ำไหลเท่าไหล เราก็ลบจาก 3 เมตรของน้ำที่ไหลออกไป ผลก็จะได้ช่วงกว้างน้ำ ที่ขาดหายไปก็เท่ากับ 2 เมตรของคลองด้านบน  จากนั้นเราก็มาคำนวณกับเครื่องดันน้ำว่ามันดันด้วยความเร็วเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่ ก็เทียบบัญญัติไตรยางค์ไป แล้วก็เอาเครื่องไปติดไว้ตรงรอยต่อ พอน้ำไหลมา ก็ดันให้เร็วขึ้น ....ทางข้างหน้าต้องเป็นอย่างไร ต้องเรียบและโล่ง น้ำจะได้ไปไวไว  ( เอาแค่นี้ก่อน ...แค่ว่าน้ำฝนตกลงมาแล้วกทม.เอาอยู่หรือเปล่า ...เพราะว่าน้ำในกทม.เขาถูกแบบไว้ระบายน้ำฝนส่วนเกินที่ท่วมพื้นที่ในกรุงเทพเท่านั้น (ใช่ไม๊)
** เขาไม่ได้มีคลองในกทม.ไว้รองรับน้ำจากภาคเหนือที่ไหลบ่าลงมานะครับ  น้ำเหนือเขาออกแบบทางไว้แล้วให้ระบายออกทางด้านข้าง ก็คือเอาคลองรังสิตทั้งสายเลย เป็นฐาน ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำกั้นไว้ ประมาณว่ากำแพงกั้นน้ำที่กำลังทำใหม่อยู่ในขณะนี้นั่นเอง แต่....มีกำแพงชั้นนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่ากำแพงด้านนอกคุณจะไม่กั้น  กำแพงด้านนอกคุณก็ต้องกั้น เคยวางกระสอบก็ต้องวางกระสอบ (ไปเตรียมมาไว้เลย...กระสอบ อย่างไรก็ต้องได้ใช้   เพราะถ้าคุณไม่มีแผนกั้นน้ำที่เป็นแนววางกระสอบเดิม แปลว่า...คุณจะปล่อยให้น้ำท่วมข้างนอกเหมือนปีก่อนเด๊ะๆ แต่ เขาได้ทำการกั้นพื้นที่สำคัญๆประเภทที่เป็น นิคมอุตสาหกรรม  สถานที่ท่องเที่ยว...ทำหรือยัง  มีมาตรการอย่างไร (ขนของขึ้นที่สูงแล้วจะคนไปไว้ที่ไหน...เอาคนนอนแช่น้ำเหมือนปีก่อน หรือจะให้เขาอยู่กันอย่างไร จะมีเรือกี่ลำจอดเป็นทางเข้าออกเพื่อการเดินทางกี่ลำคุณก็ว่าไป  (ชาวบ้านเขาจะได้เตรียมตัวถูก) แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ไปเตรียมพื้นที่คอนโดเอาไว้เลย 1 ชุด เอาสูงๆ เอาหลายๆห้องด้วย  แล้วข้างล่างสักชั้นที่ 2 คุณก็เอาสะเบียงไปเก็บสะสมเอาไว้ เตรียมไว้ให้เป็นยุ้งข้าวเลย ถามว่าถ้าน้ำมา เอาไม่อยู่จริงๆ คุณก็อพยพคนไปอยู่ที่นี่ เตรียมช่องทางการเดินทางไว้ให้เขาแล้วก็ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า...ที่นี่มาอยู่ได้...มาอยู่ได้ถ้าน้ำท่วมบ้าน ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ก็ให้มาอยู่ที่นี้ ...ทำเป็นศูนย์ลี้ภัยเตรียมไว้ไม่เป็นเป็นหรือครับ (เงินเบิกไปตั้งเยอะ...เอาไปทำอะไรหมด) ทำไมไม่เอาไปซื้อของ  พวกที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้า (ก็เอาเท่าที่จำเป็น...จะรอของบริจาคอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเวลาน้ำมา มันมาเยอะ ประชาชนก็วิ่งหัวชนกัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่มี ...งานในส่วนนี้จะไม่มีคนรับผิดชอบ*** ตรงนี้เป็นช่องว่าง
               คราวที่แล้วแก้ปัญหาโดยการใช้อาสาสมัคร  คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะยังอยู่ที่เดิม รอให้คุณใช้  คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าทรัพยากรจะมีเหมือนเดิม การขนส่ง ปูนทราย มีสแปรไว้แล้วหรือยัง......นี่มันการเตรียมการรองรับน้ำระดับตำนานเลยนะครับ  คุณทำเล่นๆได้อย่างไร  (ตกกระโหลกแตกดีมั้ย)

ลำพังน้ำในกรุงเทพ  น้ำท่วมเพราะฝนตกนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีน้ำเหนือไหลลงมาทับด้วย ตัวใครตัวมัน ....ช่วยไม่ทันแล้ว นอนแช่น้ำไปได้เลย เพื่อความปลอดภัย แผนกั้นน้ำต้องเริ่มวางตั้งแต่ก่อนน้ำเข้าอยุธยา ไปสำรวจคลองดูเอาอยู่หรือเปล่า...ไม่ต้องไปดูก็รู้ เอาไม่อยู่ เพราะน้ำท่วมอยุธยาทุกปี  ปีนี้ก็ต้องท่วม แต่คุณป้องกันได้ ทำไมไม่ป้องกัน คุณลงพื้นที่ คุณไปดูอะไรมาบ้าง ช่วงรอยต่อของแม่น้ำกับคลองในกรุงศรีอยุธยา ได้ไปสำรวจหรือยัง มีมาตรการอะไรรองรับบ้าง  ถ้ามีน้ำท่วมจุดหนึ่งภายในกรุง คุณจะระบายน้ำไปทางไหน ...ตอบได้หรือยัง  เพราะว่าต้องไม่ลืมว่าแนวกั้นน้ำตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว จากคันกั้นน้ำของนิคมอุตสาหกรรม ทีนี้ถ้าเอาไม่อยู่ ตัดพื้นที่ตรงอุตสหกรรมออก   น้ำจะมาเยอะกว่าปีก่อนอีก และก็สูงกว่าเดิมด้วย เพราะอะไร....เพราะพื้นที่รับน้ำที่เคยเป็นนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่น้ำเคยเข้าไปท่วมหายไปแล้ว คุณจะเอาน้ำไปไว้ที่ไหน...จะระบายไปทางไหน จะสูบออกได้ตรงไหน บ้าง...ถ้าตรงนี้ตอบไม่ได้ ก็เสี่ยงนอนในน้ำเข้าไปอีก
...............

ประเด็นสำคัญก็คือแนวคันกั้นน้ำทั้ง 2 ข้าง ทั้งทางฝั่งศิริราช และฝั่งตรงข้าม ปีที่แล้วทำกำแพงกระสอบทรายกี่ชั้น  แล้วปีนี้เอากำแพงกระสอบทรายออก แล้วชดเชยด้วยอะไร กำแพงเหล็กเปล่าๆ หรืออะไร  ไม่ต้องปูกระสอบแล้วแน่นะ  หาญไปหรือเปล่า
ฝั่งตรงข้ามศิริราช วางกำแพงกั้นหรือยัง สูงกี่เมตร คำนวณความสูงเผื่อปริมาณน้ำเหนือหรือยัง   เพราะเส้นเจ้าพระยานี้ต้องรับน้ำหมดทั้งจากฝั่งตะวันออกที่ไหลลงไปจากทางตอนเหนือ แล้วปันให้ไหลออกมาทางซีกปทุมธานี  ผ่านคลองรังสิต เส้นนี้ต้องแข็งทั้งเส้น   ถามว่าทำไมต้องวางให้แข็ง เพราะระบบการบริหารจัดการน้ำของคุณเชื่อไม่ได้ เอาแน่อะไรไม่ได้สักอย่าง เลย  ให้การไปคนละทางสองทาง ยังหาจุดเชื่อมโยงทางน้ำไม่เจอเลย  ถามว่ารู้ได้อย่างไร ตอบว่ารู้ได้เพราะน้ำคุณไหลไม่มีความต่อเนื่อง  น้ำทุกวันนี้ที่ไหลจากเหนือลงไม่เป็นสาย  แต่จะกลายเป็นน้ำบ่า คือไหลมาเป็นหน้ากระดาน ไหลมาเป็นผืนๆ  แล้วถ้าน้ำส่วนนี้มาเจอกับน้ำในทุ่งที่คั่งอยู่เพราะน้ำฝน............อีก เป็นอันจบข่าว หมดทางไป  ถามว่ารู้ได้อย่างไร รู้จากข่าวภัยแล้งของคุณที่รายงานออกมาในแต่ละพื้นที่ไงครับ  มันฟ้องว่าระบบชลประทานคุณไม่ดี ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีระบบชดเชยการส่งน้ำเลย  เพราะเป็นไปไม่ได้ที่น้ำล่างแห้ง แต่น้ำท่วมไหลมารวมกันตรงกลาง แล้วบอกน้ำแล้งอยู่ตรงปลาย  ...........รายงานอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ฟังรายงานข่าวจากพื้นที่น้ำแล้ง ก็รู้แล้วว่าโกหก...เพราะมีน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ  แต่พอมาถึงช่วงปลายน้ำหรือตอนเหนือ แถบ พิษณุโลก ข้ามมาฝั่งสุรินทร์ ศรีษะเกต ........ภาพมันบอกว่าคุณไม่ได้มีการระบายน้ำแบบคลองส่งคลอง  หรือที่เราเรียกว่าคลองโยงน้ำ  เพราะถ้ามีระบบไหลตัวนี้รองรับน้ำอยู่ปัญหาน้ำแล้งจะต้องไม่มี  ...แต่นี้มีทั้งที่น้ำในเขื่อนแห้งเกือบสนิท แปลว่าคุณปล่อยน้ำออกหมด ไม่มีกักเก็บไว้ในระบบที่เป็นคลองส่งน้ำ ที่ทำไว้เป็นลำคลองสายเล็กๆ ไม่มีแน่นอน
***คำถามคือน้ำท่วมแล้วน้ำหายไปไหน ............นี่สิข้อสงสัย ว่าน้ำหายไปไหน  น้ำไม่ได้ไหลลงทะเล  ไม่ได้อยู่ในแม่น้ำ ไม่ได้อยู่ในทุ่ง แล้วน้ำหายไปไหน  เขื่อนก็ไม่มีน้ำ ถ้าน้ำไหลลงแม่น้ำมันก็ต้องไหลผ่านลำคลอง ไหลผ่านห้วยหนองคลองบึง  แต่นี้น้ำหายไปเฉยๆ น้ำหายไปไหน  ...สันนิษฐานได้ทางเดียวคือระบบส่งน้ำของคุณไม่มีความเชื่อมโยง มั่นใจ...ต้องมีบางจุดที่น้ำไหลออกทะเลไม่ได้   ไม่เช่นนั้นรายงานน้ำฝนจะต้องไม่ออกมาเป็นอย่างนี้...................ต้องมีคนโกหก 100 %
.......................................................................................................
แผนการระบายน้ำออกทะเลที่ขอนำเสนอ ก็คือใช้ 3 ช่องทางน้ำโดยกระจายน้ำเหนือให้ไหลแยกออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันออก ลงแม่น้ำท่าจีน ที่ ฉะเชิงเทรา  โดยไหลน้ำออกไปจากเส้นน้ำเหนือตอนกลาง ที่ไหลลงมารวมกันที่คลองรังสิตทั้งสาย ผ่านเข้าเส้นทางคลอง 3 วา 6 วา  ตัดเข้าเส้นหนองจอก ให้น้ำไปไหลออกทางฝั่งตะวันออก คือไหลลงแม่น้ำบางปะกง ส่วนหนึ่ง 
ตามเส้นทางนี้นะครับ
ระบบทางน้ำในกทม.ปทุมธานี
ระบบการชลประทานในกทม.และปริมณฑล
ถ้าพิจารณาจากแผนที่ทางน้ำซึ่งแสดงถึงแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งไหลผ่านใจกลางกรุงเทพมหานคร หรือถ้าเป็นสมัยก่อนเราจะบอกว่าเป็นเส้นแบ่งระหว่าง กทม.และกรุงธนบุรี
ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำท่าจีน ซึ่งแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังหวัดอุทัยธานีไหลผ่านจังหวัดชัยนาท สุพรรณบุรี นครปฐม และออกทะเลที่จังหวัดสมุทรสาคร อาจเรียกชื่อต่างๆกันตามทางจังหวัดที่แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านเมื่อไหลผ่าน มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 325 กม.
ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำบางปะกง ซึ่งกำเนิดจากแม่น้ำนครนายกและแม่น้ำปราจีนบุรีไหลมาบรรจบกันที่จังหวัดปราจีนบุรี ไหลผ่านจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดฉะเชิงเทรา มีความยาวทั้งหมด 230 กม.
    แผนที่แสดงทางน้ำสำคัญๆของจังหวัด ปทุมธานี นนทบุรี กทม และสมุทรปราการ
จากแผนที่ข้างต้น ในเขตกทม.และปริมณพลจะมีคลองหลักๆจำนวนมาก ที่ได้ยินกันเกือบทุกวัน เช่น
ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา กทม.- ฉะเชิงเทรา, กทม.- สมุทรปราการ ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง มี คลองแสนแสบ คลองประเวศน์บุรีรมย์ คลองสำโรง มีลักษณะทางกายภาพเกือบคู่ขนานกัน ระหว่างคลองทั้งสามมีคลองเล็กๆขุดเชื่อมต่อเพื่อประโยชน์การระบายน้ำมากมาย

ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน ตั้งแต่จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี กทม. และสมุทรปราการ มีคลองสำคัญๆ คือ คลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองทวีวัฒนา คลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ คลองมหาชัย คลองสรรพสามิต คลองสหกรณ์




แผนที่คูคลองในจังหวัดปทุมธานี
ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนจังหวัดปทุมธานี-ฉะเชิงเทรา มีคลองระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง มี คลองเชียงรากน้อย คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองหกวา คลองระพีพัฒน์ มี คลอง 1- คลอง 17 ขุดเชื่อมต่อระหว่างคลองระพีพัฒน์ คลองรังสิต และคลองหกวา

เหตุผล  เพราะ ในส่วนนี้ ปีที่แล้วมีปัญหา 2-3 ข้อ แต่เป็นจุดอ่อนสำคัญทั้งหมดที่ทำให้น้ำล้อมกรุง  ไล่ตั้งแต่ คันกั้นน้ำฝั่งกรุงเทพมหานคร ที่เป็นรอยต่อเชื่องระหว่าง  คลอง 3 วา 6 วา ตอนล่าง  ปีที่แล้วมีน้ำรั่วเข้ามาตลอดแนว  ทำให้น้ำที่ควรไหลออกไปทางฝั่งทิศตะวันออก  ที่ควรไปออกที่แม่น้ำบางปะกง ไหลวกกลับเข้ามาท่วมกรุงทพฝั่งแถบบางนา หนองจอก ทั้งแถบ
ซึ่งแต่เดิม พื้นที่ว่างตรงนี้มีโอกาสน้ำท่วมจากน้ำล้นจากคันกั้นน้ำแถบล่าง(เป็นช่วงน้ำไหลลงโค้งพอดี—จากแผนที่  ดังนั้นช่วงรอยหักตรงนี้เป็นรอยต่อสำคัญที่ต้องเอาเครื่องสูบและเครื่องดันน้ำไปตั้งไว้ในพื้นที่ให้ทำงานสลับกัน  คือ ติดตั้งเพื่อจุดประสงค์ 1)ให้มีการผลักดันน้ำออกสู่ทะเล ให้เร็วและมากที่สุด 2) และรองรับสูบน้ำส่วนเกินที่ไหลรอดเข้ามาจากรอยรั่วบริเวณคันกั้นน้ฟันหลอ ในจุดต่างๆ  ตรงส่วนนี้  แต่ตรงนี้สำคัญที่ตัวคันกั้นน้ำ ต้องระวังไม่ให้มีรอยรั่ว ไม่งั้นน้ำตรงนี้จะไหลเข้าท่วมกรุงเทพฝั่งตะวันออก พอป้องกันตรงนี้เสร็จแล้วก็ใช้วิธีบังคับด้วยแนวคันกั้นน้ำที่สร้างใหม่ เอาเป็นฐานรับน้ำตอนล่าง  แล้วก็ปล่อยน้ำให้ไหลออกที่แม่น้ำบางปะกงกับแม่น้ำท่าจีน 
(โดยไม่ให้น้ำไหลวกกลับมาท่วมกรุงเทพฝั่งตะวันออกด้านใน  ไล่ตั้งแต่ ดอนเมือง  สายไหม  รามอินทรา มีนบุรี  หนองจอก บางนาตราด-แถบลาดกระบัง ...ตรงนี้ก็จะไม่ท่วม ปีที่แล้วน้ำเข้าจุดนี้
ข้อแนะนำเพิ่มเติม...
งบประมาณที่กู้ไป รัฐบาลน่าจะแบ่งมาซื้อเครื่องสูบน้ำติดตั้งไว้บริเวณปลายคลอง ปลายแม่น้ำ
และถ้าเป็นพื้นที่บริเวณปลายน้ำก็ควรเอาเครื่องสูบกับเครื่องดันไปติดตั้ง ในกรณีถ้าคิดว่าเอาอยู่ เพื่อช่วยให้เกษตรกรที่เขาทำนากุ้ง แถบชายทะเล ตรงนี้ ได้ไม่ต้องเจอกับปัญหาน้ำกร่อยเนื่องจากน้ำเหนือซึ่งเป็นน้ำจืดไหลมารวมกันกับน้ำทะเล แถบจังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย สมุทร...ทั้งหลาย  พอน้ำลง น้ำทะเลไม่หนุน ก็รีบผลัก และสูบออก น้ำจะได้ไม่ขังอยู่ในทุ่ง อย่างเช่นเป็นรอยต่อจากนครปฐมก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น้ำเหนือจะมาตลบจากทางด้านหลังได้  ก็ใช้วิธีเดียวกันป้องกัน
 ในปีที่แล้วน้ำท่วมตรงนี้ถ้าติดตั้งแบบนี้ไว้ก็บรรเทาความเสียหายได้เยอะ
****
ศักยภาพการระบายน้ำออกสู่ทะเลถ้าดูศักยภาพการระบายน้ำข้อมูลพื้นฐานจริงๆ จะเห็นว่าทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จากพื้นที่ปทุมธานีถึงสมุทรปราการสามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ประมาณ
26 ล้านลบ.ม.ต่อวัน และสามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำบางปะกงได้ประมาณ 21 ล้านลบ.ม.ต่อวัน และสามารถผันน้ำออกสู่อ่าวไทยโดยตรงได้ประมาณวันละ 25 ลบ.ม.ต่อวัน ส่วนทิศตะวันตกสามารถระบายลงสู่แม่น้ำท่าจีนได้วันละ 32.18 ล้านลบ.มต่อวัน (มติชน) แต่ในเชิงปฏิบัติจริงจะได้เท่าไรนั้นคงต้องดูปริมาณน้ำทั้งหมด และพิจารณาว่าควรจะผันน้ำออกที่บริเวณใดจึงจะทำให้น้ำออกสู่ทะเลได้เร็วที่สุดและสามารถลดแรงดันน้ำต่อกำแพงสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย

ทีนี้มาเจาะเส้นทางระบายน้ำฝั่งตะวันตก เส้นแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นนี้จะรับน้ำ เส้นคลองเปรม


ป้องกันน้ำท่วมปี 2555 ไม่ใช่ของเล่น


กรุงเทพ...ต้องเตรียมพื้นที่รับน้ำเอาไว้ก่อน คือเคลียร์คลองในกรุงเทพให้แห้งกิ๊ก...เลยนะครับ แล้วก็เตรียมพื้นที่ระบายน้ำสำรองไว้ด้วย (ให้นึกถึงพื้นที่คลองส่งน้ำที่มีพื้นที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งข้างบนและฝั่งข้างล่าง ลองนึกดูสิว่ายังมีพื้นที่ไหนที่สามารถรองรับปริมาณน้ำเพิ่มได้บ้าง จากปริมาณน้ำปกติ ให้สำรองพื้นที่ตรงนั้นไว้อย่าให้น้ำเข้าไป แต่เก็บไว้เป็นพื้นที่เผื่อเหลือเผื่อขาดเพื่อรอรับน้ำสำรองที่อาจท่วมเนื่องจากพื้นที่ในกรุงเทพระบายย้ำไม่ทัน)

ความหมายของพระราชดำรัส ท่านให้ระมัดระวังช่วงรอยต่อของคลองภายในกรุงเทพแต่ละคลองว่าความกว้างของคลองมันกว้างเท่าไหร่ กว้างกี่เมตรแล้วก็เปรียบเทียบช่วงรอยต่อดูสิว่าตรงไหนแคบหรือกว้างกว่ากัน เช่นคลองที่ 1 กว้าง 5 เมตร คลองที่ 2 กว้าง 3 เมตร แล้วสองคลองนี้มันต่อกันน้ำไหลมา มันก็ต้องท่วมพื้นที่ตอนล่างของคลองแน่นอน วิธีแก้ไม่ให้ท่วม คุณก็ไปเอาเครื่องผลักดันมาตั้งตรงรอยต่อของคลอง เสร็จแล้วก็ลองคำนวณปริมาณไหลเข้า ไหลออก (จำลองจากโมเดลดูก็ได้) ดูซิว่าความถี่ ความไวของการไหลเป็นเท่าไหร่ (มันมีเครื่องวัดอยู่) ทีนี้ก็มาคำนวณหาค่าชดเชยเอาว่าจะต้องตั้งกี่เครื่อง..ก็คิดจะช่วงกว้าง 2 เมตรที่หายไป จากคลองที่ 1 น้ำไหลเท่าไหล เราก็ลบจาก 3 เมตรของน้ำที่ไหลออกไป ผลก็จะได้ช่วงกว้างน้ำ ที่ขาดหายไปก็เท่ากับ 2 เมตรของคลองด้านบน จากนั้นเราก็มาคำนวณกับเครื่องดันน้ำว่ามันดันด้วยความเร็วเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่ ก็เทียบบัญญัติไตรยางค์ไป แล้วก็เอาเครื่องไปติดไว้ตรงรอยต่อ พอน้ำไหลมา ก็ดันให้เร็วขึ้น ....ทางข้างหน้าต้องเป็นอย่างไร ต้องเรียบและโล่ง น้ำจะได้ไปไวไว ( เอาแค่นี้ก่อน ...แค่ว่าน้ำฝนตกลงมาแล้วกทม.เอาอยู่หรือเปล่า ...เพราะว่าน้ำในกทม.เขาถูกแบบไว้ระบายน้ำฝนส่วนเกินที่ท่วมพื้นที่ในกรุงเทพเท่านั้น (ใช่ไม๊)



** เขาไม่ได้มีคลองในกทม.ไว้รองรับน้ำจากภาคเหนือที่ไหลบ่าลงมานะครับ น้ำเหนือเขาออกแบบทางไว้แล้วให้ระบายออกทางด้านข้าง ก็คือเอาคลองรังสิตทั้งสายเลย เป็นฐาน ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำกั้นไว้ ประมาณว่ากำแพงกั้นน้ำที่กำลังทำใหม่อยู่ในขณะนี้นั่นเอง แต่....มีกำแพงชั้นนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่ากำแพงด้านนอกคุณจะไม่กั้น กำแพงด้านนอกคุณก็ต้องกั้น เคยวางกระสอบก็ต้องวางกระสอบ (ไปเตรียมมาไว้เลย...กระสอบ อย่างไรก็ต้องได้ใช้ เพราะถ้าคุณไม่มีแผนกั้นน้ำที่เป็นแนววางกระสอบเดิม แปลว่า...คุณจะปล่อยให้น้ำท่วมข้างนอกเหมือนปีก่อนเด๊ะๆ แต่ เขาได้ทำการกั้นพื้นที่สำคัญๆประเภทที่เป็น นิคมอุตสาหกรรม สถานที่ท่องเที่ยว...ทำหรือยัง มีมาตรการอย่างไร (ขนของขึ้นที่สูงแล้วจะคนไปไว้ที่ไหน...เอาคนนอนแช่น้ำเหมือนปีก่อน หรือจะให้เขาอยู่กันอย่างไร จะมีเรือกี่ลำจอดเป็นทางเข้าออกเพื่อการเดินทางกี่ลำคุณก็ว่าไป (ชาวบ้านเขาจะได้เตรียมตัวถูก) แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ไปเตรียมพื้นที่คอนโดเอาไว้เลย 1 ชุด เอาสูงๆ เอาหลายๆห้องด้วย แล้วข้างล่างสักชั้นที่ 2 คุณก็เอาสะเบียงไปเก็บสะสมเอาไว้ เตรียมไว้ให้เป็นยุ้งข้าวเลย ถามว่าถ้าน้ำมา เอาไม่อยู่จริงๆ คุณก็อพยพคนไปอยู่ที่นี่ เตรียมช่องทางการเดินทางไว้ให้เขาแล้วก็ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า...ที่นี่มาอยู่ได้...มาอยู่ได้ถ้าน้ำท่วมบ้าน ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ก็ให้มาอยู่ที่นี้ ...ทำเป็นศูนย์ลี้ภัยเตรียมไว้ไม่เป็นเป็นหรือครับ (เงินเบิกไปตั้งเยอะ...เอาไปทำอะไรหมด) ทำไมไม่เอาไปซื้อของ พวกที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้า (ก็เอาเท่าที่จำเป็น...จะรอของบริจาคอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเวลาน้ำมา มันมาเยอะ ประชาชนก็วิ่งหัวชนกัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่มี ...งานในส่วนนี้จะไม่มีคนรับผิดชอบ*** ตรงนี้เป็นช่องว่าง

คราวที่แล้วแก้ปัญหาโดยการใช้อาสาสมัคร คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะยังอยู่ที่เดิม รอให้คุณใช้ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าทรัพยากรจะมีเหมือนเดิม การขนส่ง ปูนทราย มีสแปรไว้แล้วหรือยัง......นี่มันการเตรียมการรองรับน้ำระดับตำนานเลยนะครับ คุณทำเล่นๆได้อย่างไร (ตกกระโหลกแตกดีมั้ย)





ลำพังน้ำในกรุงเทพ น้ำท่วมเพราะฝนตกนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีน้ำเหนือไหลลงมาทับด้วย ตัวใครตัวมัน ....ช่วยไม่ทันแล้ว นอนแช่น้ำไปได้เลย เพื่อความปลอดภัย แผนกั้นน้ำต้องเริ่มวางตั้งแต่ก่อนน้ำเข้าอยุธยา ไปสำรวจคลองดูเอาอยู่หรือเปล่า...ไม่ต้องไปดูก็รู้ เอาไม่อยู่ เพราะน้ำท่วมอยุธยาทุกปี ปีนี้ก็ต้องท่วม แต่คุณป้องกันได้ ทำไมไม่ป้องกัน คุณลงพื้นที่ คุณไปดูอะไรมาบ้าง ช่วงรอยต่อของแม่น้ำกับคลองในกรุงศรีอยุธยา ได้ไปสำรวจหรือยัง มีมาตรการอะไรรองรับบ้าง ถ้ามีน้ำท่วมจุดหนึ่งภายในกรุง คุณจะระบายน้ำไปทางไหน ...ตอบได้หรือยัง เพราะว่าต้องไม่ลืมว่าแนวกั้นน้ำตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว จากคันกั้นน้ำของนิคมอุตสาหกรรม ทีนี้ถ้าเอาไม่อยู่ ตัดพื้นที่ตรงอุตสหกรรมออก น้ำจะมาเยอะกว่าปีก่อนอีก และก็สูงกว่าเดิมด้วย เพราะอะไร....เพราะพื้นที่รับน้ำที่เคยเป็นนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่น้ำเคยเข้าไปท่วมหายไปแล้ว คุณจะเอาน้ำไปไว้ที่ไหน...จะระบายไปทางไหน จะสูบออกได้ตรงไหน บ้าง...ถ้าตรงนี้ตอบไม่ได้ ก็เสี่ยงนอนในน้ำเข้าไปอีก

...............

ประเด็นสำคัญก็คือแนวคันกั้นน้ำทั้ง 2 ข้าง ทั้งทางฝั่งศิริราช และฝั่งตรงข้าม ปีที่แล้วทำกำแพงกระสอบทรายกี่ชั้น แล้วปีนี้เอากำแพงกระสอบทรายออก แล้วชดเชยด้วยอะไร กำแพงเหล็กเปล่าๆ หรืออะไร ไม่ต้องปูกระสอบแล้วแน่นะ หาญไปหรือเปล่า



ฝั่งตรงข้ามศิริราช วางกำแพงกั้นหรือยัง สูงกี่เมตร คำนวณความสูงเผื่อปริมาณน้ำเหนือหรือยัง เพราะเส้นเจ้าพระยานี้ต้องรับน้ำหมดทั้งจากฝั่งตะวันออกที่ไหลลงไปจากทางตอนเหนือ แล้วปันให้ไหลออกมาทางซีกปทุมธานี ผ่านคลองรังสิต เส้นนี้ต้องแข็งทั้งเส้น ถามว่าทำไมต้องวางให้แข็ง เพราะระบบการบริหารจัดการน้ำของคุณเชื่อไม่ได้ เอาแน่อะไรไม่ได้สักอย่าง เลย ให้การไปคนละทางสองทาง ยังหาจุดเชื่อมโยงทางน้ำไม่เจอเลย ถามว่ารู้ได้อย่างไร ตอบว่ารู้ได้เพราะน้ำคุณไหลไม่มีความต่อเนื่อง น้ำทุกวันนี้ที่ไหลจากเหนือลงไม่เป็นสาย แต่จะกลายเป็นน้ำบ่า คือไหลมาเป็นหน้ากระดาน ไหลมาเป็นผืนๆ แล้วถ้าน้ำส่วนนี้มาเจอกับน้ำในทุ่งที่คั่งอยู่เพราะน้ำฝน............อีก เป็นอันจบข่าว หมดทางไป ถามว่ารู้ได้อย่างไร รู้จากข่าวภัยแล้งของคุณที่รายงานออกมาในแต่ละพื้นที่ไงครับ มันฟ้องว่าระบบชลประทานคุณไม่ดี ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีระบบชดเชยการส่งน้ำเลย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่น้ำล่างแห้ง แต่น้ำท่วมไหลมารวมกันตรงกลาง แล้วบอกน้ำแล้งอยู่ตรงปลาย ...........รายงานอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ฟังรายงานข่าวจากพื้นที่น้ำแล้ง ก็รู้แล้วว่าโกหก...เพราะมีน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ แต่พอมาถึงช่วงปลายน้ำหรือตอนเหนือ แถบ พิษณุโลก ข้ามมาฝั่งสุรินทร์ ศรีษะเกต ........ภาพมันบอกว่าคุณไม่ได้มีการระบายน้ำแบบคลองส่งคลอง หรือที่เราเรียกว่าคลองโยงน้ำ เพราะถ้ามีระบบไหลตัวนี้รองรับน้ำอยู่ปัญหาน้ำแล้งจะต้องไม่มี ...แต่นี้มีทั้งที่น้ำในเขื่อนแห้งเกือบสนิท แปลว่าคุณปล่อยน้ำออกหมด ไม่มีกักเก็บไว้ในระบบที่เป็นคลองส่งน้ำ ที่ทำไว้เป็นลำคลองสายเล็กๆ ไม่มีแน่นอน

***คำถามคือน้ำท่วมแล้วน้ำหายไปไหน ............นี่สิข้อสงสัย ว่าน้ำหายไปไหน น้ำไม่ได้ไหลลงทะเล ไม่ได้อยู่ในแม่น้ำ ไม่ได้อยู่ในทุ่ง แล้วน้ำหายไปไหน เขื่อนก็ไม่มีน้ำ ถ้าน้ำไหลลงแม่น้ำมันก็ต้องไหลผ่านลำคลอง ไหลผ่านห้วยหนองคลองบึง แต่นี้น้ำหายไปเฉยๆ น้ำหายไปไหน ...สันนิษฐานได้ทางเดียวคือระบบส่งน้ำของคุณไม่มีความเชื่อมโยง มั่นใจ...ต้องมีบางจุดที่น้ำไหลออกทะเลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรายงานน้ำฝนจะต้องไม่ออกมาเป็นอย่างนี้...................ต้องมีคนโกหก 100 %

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สร้างโลกทัศน์ที่ดีให้แก่การเมืองจะดีกว่ามั้ย


ทำอย่างไรคนไทยจึงจะใช้น้ำมันราคาถูกและไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าน้ำมันให้กับต่างประเทศแบบทุกวันนี้
--
ถ้าสังคมช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ลองปรับเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็น
ให้สอดคล้องกับรูปแบบแนวคิด
Creative ในปัจจุบัน เพื่อสร้างโลกทัศน์ที่ดีให้แก่การเมืองจะดีกว่ามั้ย
ผมนั่งอ่านมุมมองและความคิดของนักปราชญ์และผู้รู้ด้านประชาธิปไตยแล้วผมเกิดไอเดียบางอย่างเกิดขึ้นมา
และผมมองว่าเป็นความคิดต่างและมองมุมต่างในแง่ดี ที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาในเรื่องของความแตกต่างทางด้านความคิดและความขัดแย้งในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดีนะครับ  เพราะโดยส่วนมากคนไทยมักมองคนที่มีความคิดเห็นในมุมต่างเป็นศัตรูที่อยู่ตรงกันข้ามกับความคิดของตน  เลยกลายเป็นว่าการมองมุมต่างเพียงมุมมองเดียว สามารถทำให้เกิดผลความเห็นขัดแย้งที่แพร่สะพัดไปได้อีกหลากหลายมุมมองทีเดียว
นั่งอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างๆในทางการเมืองแล้วทำให้ผมมองเห็นความเป็นอัตตาของมนุษย์มากขึ้นได้อย่างชัดเจน  การที่คนทุกวันนี้จับกลุ่มสุมศีรษะนินทา เอ้ย..ให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนกันโดยถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นทางความคิดของคนแต่ละคนนั้น   ส่วนตัวผมมองว่ามีประโยชน์แต่มุมมองหลักที่ประชาชนคนไทยควรร่วมมือร่วมใจกันสร้างให้เห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้ในวันนี้น่าจะเป็นเรื่องของมุมมองและความเห็นที่จะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์เสียมากกว่า  ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อเห็นใครสักคนที่เราไม่ชอบเดินคุยมากับใครสักคนที่เราเองก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แต่บังเอิญวินาทีนั้นเพื่อนใหม่ของคุณคนนี้ดันเดินเข้ามาหาคุณพร้อมกับคนที่เป็นศัตรูกับคุณ ผมกล้าพนันได้เลยนะครับว่า หลังจากช่วงเวลาแห่ง
first impression ผ่านไป หากบังเอิญว่ามีบางอย่างที่สร้างความไม่พอใจขึ้น กับพื่อนใหม่คนนี้คุณจะมองหน้ากันไม่ได้อีกเป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน เพียงเพราะเหตุผลที่ว่าอคติเกิดจากการไม่ชอบขี้หน้าศัตรูคุณพาดพิงอิงมาถึงเพื่อนใหม่นี้ด้วย  ถามว่ามีเหตุผลอะไรมั้ย...สำหรับคนที่วางหัวใจเป็นกลางได้อย่างแท้จริง  ผมบอกได้เลยว่ามีแต่น้อย แต่ความคิดและมุมมองเช่นที่ผมว่ามานี้ จะให้ผลที่ดีมากๆกับบุคคลที่มีความเห็นในเรื่องส่วนตัว (ขอย้ำว่าเป็นความเห็นที่เป็นส่วนตัว) ที่มีต่อตัวบุคคล และจะช่วยลดความเป็นตัวตนของบุคคลที่มีอำนาจในสังคมลงได้มากทีเดียว ด้วยเหตุผลที่อย่างน้อยที่สุด คุณได้ตัดเอาความเป็นหัวโขนของคนๆหนึ่งที่เดินถือออกมาจากบ้าน เก็บเข้ากระเป๋าไป คนๆนี้ก็จะเหลือเพียงหัวโขนที่แสดงออกได้ทางไอเดียหรือความคิดแบบ Creative ได้อย่างเดียวแล้วนะครับ เพราะว่าคุณถอดเอาหัวโขนของเขาออกไปแล้ว
เหลือก็แต่เพียงบทบาท ภาระและหน้าที่ที่จะต้องมีในตัวบุคคลที่ดำรงอยู่เท่านั้น  เมื่อเราถอดเอาความคิดเห็นที่เป็นเฉพาะในมุมมองของความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานในหน้าที่ของคนๆนั้น จะสะท้อนให้คนในสังคมมองเห็นความสำคัญในตัวของคนๆนั้นที่มีต่อความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่  มากกว่าที่จะพุ่งประเด็นลงไปขุดคุ้ยค้นหาว่าต้นตระกูลนับแต่โบราณนานมา บุคคลผู้นี้เป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน เพราะสำหรับผม...สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เขาคนนั้นกำลังกระทำอยู่ ณ เวลาในปัจจุบันขณะนั้น ซึ่งสมควรเป็นสิ่งที่คนในสังคมควรหยิบขึ้นมาคิดพิจารณามากกว่าที่จะไปเอาใจใส่ในเรื่องของที่มาที่ไปของเขา  ผมเชื่อว่า หน้าที่การงานมีความสำคัญมากกว่าตัวบุคคล และมันสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เขากระทำได้ชัดเจนกว่าการจินตนาการตัวเองขึ้นมาสักตัวหนึ่ง  แล้วให้ตัวอวตารตัวนี้เล่นบทต่างๆในสังคมตามพื้นฐานและหน้าที่สามัญ นอกจากจะช่วยลดในเรื่องของการใช้อำนาจและอิทธิพลส่วนบุคคลด้วยแล้ว ยังเป็นการลดและแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เป็นปัญหาต่อการปรองดองของประเทศชาติขณะนี้ด้วยนะครับ
ผมมองว่า...
คนไทยน่าจะเลิกใส่ใจที่ตัวตนของคนแล้วหันมาให้ความสำคัญ  กับเนื้องานที่คนๆนั้นรับผิดชอบมากกว่าจะมาด่ากันสาดเสียเทเสีย โดยต่างคนต่างหยิบความไม่ได้เรื่องของตัวเองมาประณามคู่ต่อสู้ ...เพราะต่อให้ฝีปากกล้าแค่ไหน...ถ้าไม่ด่าไปให้ลึกถึงตัวเนื้อหาสาระที่คนๆนั้นทำ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงลงไปที่ตัวเนื้องานเสียที ความสร้างสรรค์ที่ควรจะมีภายหลังการวิพากษ์วิจารณ์นั้นคงจะเกิดได้น้อยมาก  อีกทั้งตัวอย่างเนื้อหาสาระที่มักหยิบมาเป็นหัวข้อปะทะคารมกันเท่าที่ผมสังเกตส่วนมากหาจุดลงแทบไม่ได้เลย คือเป็นคำค้านความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดที่สร้างสรรค์ Creative หรือ imagination ขึ้นมาได้เลย  สำหรับผม...มองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลในลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์ที่น้อยกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของวิชาการที่จะมาพร้อมกับเนื้องานหรือผลงานที่คนๆนั้นรับผิดชอบดูแลอยู่
และการจะด่ากร่น ขุดชาติตะกูลมาด่าใส่กันอย่างทุกวันนี้ เรื่อยๆ ต่อไปมันจะกลายเป็นประเด็นปัญหาที่ทำให้คนในสังคมเข้าหน้ากันไม่ติด  จะเดินไปไหนมาไหนก็ต้องใส่หน้ากากที่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี...ผมมองว่ามันทำให้เรื่องบางเรื่องจบลงได้ยาก  เหตุผลก็เพราะการถกเถียงกันในลักษณะเน้นไปที่อัตตาของบุคคลแต่ละคนนั้น ผลร้ายที่สุดก็คือการมองหาความเป็นตัวตนของตัวเองไม่เจอ  ต้องเป็นคนประเภทที่มีความกล้าเท่านั้นที่จะผลักดันตัวเองขึ้นไปยืนอยู่แถวหน้าๆในสังคมทุกวันนี้ได้ เลยกลายเป็นว่าใครพูดเก่ง ฝีปากเก่ง ให้ความอารักขาลิ้นของตนเองได้ดี มันจะเป็นตัวผลักดันและสนับสนุนให้คนๆนั้นเติบโตและมีคุณค่าขึ้นมา โดยการใช้วาจาและคำพูดเป็นอาวุธนั้นเองนะครับ  การวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะนี้ก็ให้เกิดช่องว่างและความเสียหายต่อบุคคลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากเสียยิ่งกว่าการหยิบเรื่องส่วนตัวสักเรื่องไปกรุข่าวและสร้างประเด็นโจษขานขึ้นมา ดังที่ใครๆชอบกล่าวว่าผลักดัน  เจ็ดัน อะไรประมาณนี้นะครับ  สิ่งที่ผมห่วงก็เพราะความเห็นในลักษณะนี้สามารถสร้างความสับสนและยุ่งเหยิงกลับคืนให้กับสังคมได้ไม่สิ้นสุด ละอาจกลายเป็นประเด็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้หากว่ามีการเจรจาเพื่อปรานีประนอมกันในสังคมนั้นไม่ลงตัว เนื่องจากที่มาและสาเหตุของความขัดแย้งจะถูกกัดกินลึกลงไปถึงเนื้อในความเป็นตัวตนของผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์  อธิบายได้ด้วยคำสั้นๆเลยนะครับว่าผลกระทบต่อบุคคลคนนั้นทุกแง่มุมเสียศูนย์ทันที  ไม่ว่าคุณงามความดีที่เขาสร้างและสั่งสมมาจะมีมากมายเท่าไหร่ ก็จะไม่เกิดประกายฉายแสงแห่งเหตุผลให้คนได้คิดเพราะมัวแต่ไปติดอยู่ในเยื่อหุ้มแห่งความมีตัวตน หรือที่เราเรียกว่าอัตตาอยู่นั่นเองนะครับ--มุมมองของผมหากว่าต้องการจะวิพากษ์ วิจารณ์การเมือง ผมมองเอาเองนะครับ ว่าก็สมควรต้องอ้างอิงลงไปในเนื้อหาสาระและรายละเอียดของงานมากกว่าเดิม อยากเสนอให้ให้มีผู้รู้หรือนักปราชญ์หยิบชิ้นงานที่กำลังเป็นที่ให้ความสนใจหรือกำลังเป็นประเด็นปัญหาเหล่านั้นขึ้นมานำเสนอและ ช่วยกันชี้นำให้เกิดความรู้ถูก เข้าใจถูกให้กับคนในสังคม (คล้ายกับการนำเสนอความจริงนั้นแหละนะครับ แต่เราตัดความเป็นตัวบุคคลออกไป เพื่อช่วยกันสร้างความเข้าอกเข้าใจให้กับประชาชนมากที่สุดในเรื่องหรือหัวข้อที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ และผมยังมองเห็นว่าการออกความคิดเห็นในลักษณะหยิบชิ้นปลามันนี้ค่อนข้างที่จะง่ายกว่าในการนำเสนอเหตุผล เพื่อแก้ไขปัญหาหรือหักล้างอ้างอิงความคิดเห็นส่วนตัวของกันและกันนะครับ
หากคนในสังคมให้ความสำคัญลึกลงไปในเนื้อหาสาระในสิ่งที่ต้องการวิจารณ์มากกว่าการให้ความคิดเห็นส่วนตัว  คือช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์การทำงานให้ออกมาในรูปแบบไม่ระบุตัวบุคคล แต่สะท้อนให้เห็รแง่มุม Creative ได้อย่างสร้างสรรค์ บวกความมีจินตนาการ ผมมองว่าจะเป็นการแสดงออกถึงความคิดและมุมมองเป็นประโยชน์และสะท้อนถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่างๆได้เป็นอย่างดี  โดยที่ผู้วิพากษ์วิจารณ์พยายามเลี่ยงที่จะหยิบเอาตัวบุคคลแต่ละบุคคลขึ้นมาสาธยายสารพันปัญหาที่เกี่ยวกับตัวเขา  เกี่ยวข้องกับชีวิตที่เป็นส่วนตัวของเขา และพยายามมองหาความน่าสนใจในมุมมองอย่างอื่นที่ควรมองเห็นได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปขุดคุ้ยถึงชาติตระกูลที่บ้าน ผู้ให้กำเนิด บิดามารดาเป็นใคร ประกอบอาชีพอะไร เพียงเพื่อเจตนาเดียวคือต้องการค้นหาผู้ที่จะมามีบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบให้กับสังคมในการทำหน้าที่ตรงนั้น  มุมมองและประเด็นปัญหาจะเพิ่มเติมได้หลากหลาย เกิดความคิดเห็นเชิง creative หรือทฤษฎีความเข้าใจใหม่เป็นจำนวนมาก ช่วยเพิ่มรอยหยักในสมองได้อีกเยอะทีเดียวนะครับ  มุมมองของผมนะ...หากเราคนไทยเปลี่ยนการวิพากษ์วิจารณ์ให้เห็นมุมมองทางการเมืองที่สะท้อน
ให้สังคมเห็นความแตกต่างและความหลากหลายทางความคิดให้เห็นชัดเจนจนเกิดประโยชน์สูงสุดโดยสามารถนำความคิดเห็นนั้นเป็นตัวนำทางไปสู่ความคิดเห็นที่เป็นกลาง  ความคิดเห็นที่ถูกต้องและเป็นมุมมองมาตรฐานมากกว่าจะพยายามใส่ความรู้สึกของตัวเองลงไปในคำพูด  ศักยภาพทางการเมืองของคนไทยในเรื่องของความคิดวิเคราะห์จะก้าวหน้าและเติบโตขึ้นเป็นอย่างดี  อยู่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่สมัยนี้กล้าเพียงพอหรือไม่ที่จะปรับพฤตึกรรมและมุมมองของตนเองให้หันเข้าหายุคแห่งการสื่อสารด้วยระบบดิจิตัลของทุกวันนี้ .ซึ่งล้วนต่างเข้าใจดีว่ามันมีความแพร่ที่รวดเร็วมากน้อยเพียงใด   
การถ่ายทอดความคิดเห็นในเนื้องานออกมาทางสังคม ให้สังคมได้ช่วยกันคิด เห็นแล้วช่วยกันสร้างมุมมองต่อยอด ช่วยกันตกผลึกความคิดรวบยอดที่สมบูรณ์ออกมา น่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถนำเสนอเพื่อเป็นทางออกของความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดจากความเห็นต่างในวันนี้ได้อีกระดับหนึ่ง  อีกทั้งยังเป็นการฝึกให้ตนเองเป็นคนที่คิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ ไม่คิดลบ  คิดเห็นอะไรก็จะมีความเป็นกลางมากขึ้น ซึ่งความเห็นในลักษณะที่เป็นกลางเหล่านี้ จะสะท้อนให้เห็นความเป็นเนื้อเดียวกันทางความเห็นของสังคมนั้นๆได้อีกระดับหนึ่งทีเดียว  จะไม่ลองทบทวนและวกกลับความคิดสักนิดดูหรือครับ ผมมองว่ามันมีประโยชน์กว่าการสาดสีเข้าหากัน และยังช่วยเป็นยาปรองดองผสานหัวใจที่แตกร้าวในสังคมได้ด้วย