"หญ้า แม้เป็นพืชต้นเล็กๆ แต่เพราะมีความทนทรหด จึงสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ทั่วโลกฉันใด คนเราแม้กำลังทรัพย์ กำลังความรู้ ความสามารถจะยังน้อย แต่ถ้ามีความอดทนแล้ว ย่อมสามารถฝึกฝนตนเอง ให้ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิตได้ฉันนั้น"
ความอดทนคืออะไร ?
ความ อดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะมีคนเทอะไรลงไป ของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม
งาน ทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ ที่สำเร็จขึ้นมาได้นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำแล้ว ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมอันหนึ่งเป็นพื้นฐานจึงสำเร็จได้ คุณธรรมอันนั้นคือ ขันติ
ถ้าขาดขันติเสียแล้ว จะไม่มีงานชิ้นใดสำเร็จได้เลย เพราะขันติเป็นคุณธรราสำหรับทั้งต่อต้านความท้อถอยหดหู่ ขับเคลื่อนเร่งเร้าให้เกิดความขยัน และทำให้เห็นอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องท้าทายความสามารถ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของงานทุกชิ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม คืออนุสาวรีย์ของขันติทั้งสิ้น
โดยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ยกเว้นปัญญาแล้ว เราสรรเสริญว่าขันติเป็นคุณธรรมอย่างยิ่ง” ลักษณะความอดทนที่ถูกต้อง
๑.มีความอดกลั้น คือ เมื่อถูกคนพาลด่า ก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ทำหูเหมือนหูกระทะ เมื่อเห็นอาการยั่วยุ ก็ทำราวกับว่าไม่ได้เห็น ทำตาเหมือนตาไม้ไผ่ ไม่สนใจใยดี ไม่ปล่อยใจให้เศร้าหมองไปด้วย ใส่ใจ สนใจ แต่ในเรื่องที่จะทำความเจริญให้แก่ตนเอง เช่น เจริญศีล สมาธิ ปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
๒.เป็นผู้ไม่ดุร้าย คือ สามารถข่มความโกรธไว้ได้ ไม่โกรธ ไม่ทำร้ายทำอันตรายด้วยอำนาจแห่งความโกธนั้น ผู้ที่โกรธง่ายแสดงว่ายังขาดความอดทน มีคำตรัสของท้าวสักกะ เป็นข้อเตือนใจอยู่ว่า “ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธก่อนแล้ว ผู้นั้นกลับเป็นคนเลวกว่า ผู้ที่โกรธก่อน ผู้ที่ไม่โกรธต่อบุคคลผู้กำลังโกรธอยู่ ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ชนะสงครามอันชนะได้ยากยิ่ง”
๓.ไม่ปลูกน้ำตาให้แก่ใครๆ คือ ไม่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเจ็บแค้นใจจนน้ำตาไหลด้วยอำนาจความเกรี้ยวกราดของเรา
๔.มีใจเบิกบานแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์ คือ มีปีติอิ่มเอิบใจเสมอๆ ไม่พยาบาท ไม่โทษฟ้า โทษฝน โทษเทวดา โทษโชคชะตา หรือโทษใครๆ ทั้งนั้น พยายามอดทนทำการงานทุกอย่างด้วยใจเบิกบาน
ลักษณะความอดทนนั้น โบราณท่านสอนลูกหลานไว้ย่อๆ ว่า “ปิดหูซ้ายขวา ปิดตาสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง นอนนั่งสบาย” คน บางคนขี้เกียจทำงาน บางคนขี้เกียจเรียนหนังสือ บางคนเกะกะเกเร พอมีผู้ว่ากล่าวตักเตือนก็เฉยเสีย แล้วบอกว่าตนเองกำลังบำเพ็ญขันติบารมี อย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด ตีความหมายของขันติผิดไป ขันติไม่ได้หมายถึงการตกอยู่ในสภาพใดก็ทนอยู่อย่างนั้น
“พวกที่จน ก็ทนจนต่อไป ไม่ขวนขวายทำมาหากิน จัดเป็นพวกตายด้าน”
“พวกที่โง่ ก็ทนโง่ไป ใครสอนให้ก็ไม่เอา จัดเป็นพวก ดื้อด้าน”
“พวกที่ชั่ว แล้วก็ชั่วอีก ใครห้ามก็ไม่ฟัง จัดเป็นพวก ดื้อดึง”
ลักษณะที่สำคัญยิ่งของขันติ คือ ตลอดเวลาที่อดทนอยู่นั้น จะต้องมีใจผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
เราสรุปลักษณะของขันติโดยย่อ ได้ดังนี้
๑.อดทนถอนตัวหรือหลีกเลี่ยงจากความชั่วให้ได้
๒.อดทนทำความดีต่อไป
๓.อดทนรักษาใจไว้ไม่ให้เศร้าหมอง
ประเภทของความอดทน
ความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบได้เป็น ๔ประเภทคือ
๑.อดทนต่อความลำบากตรากตรำ เป็นการอดทนต่อสภาพธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ความหนาว ความร้อน ฝนตก แดดออก ฯลฯ ก็อดทนทำงานเรื่อยไป ไม่ใช่เอาแต่โทษเทวดาฟ้าดิน หรืออ้างเหตุเหล่านี้แล้วไม่ทำงาน
๒.อดทนต่อทุกขเวทนา เป็นการอดทนต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยความไม่สบายกายของเราเอง ความปวด ความเมื่อย ผู้ที่ขาดความอดทนประเภทนี้ เวลาเจ็บป่วย จะร้องครวญคราง พร่ำเพ้อรำพัน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ผู้รักษาพยาบาลทำอะไรไม่ทันใจหรือไม่ถูกใจ ก็โกรธง่ายพวกนี้จึงต้องป่วยเป็น ๒ เท่า คือ นอกจากจะป่วยกายที่เป็นอยู่แล้ว ยังต้องป่วยใจแถมเข้าไปด้วย ทำตัวเป็นที่น่าเบื่อหน่ายแก่ชนทั้งหลาย
๓.อดทนต่อความเจ็บใจ เป็นการอดทนต่อความโกรธ ความไม่พอใจ ความขัดใจ อันเกิดจากคำพูดที่ไม่ชอบใจ กิริยามารยาทที่ไม่งาม การบีบคั้นทั้งจากผู้บังคับบัญชาและลูกน้อง ความอยุติธรรมต่างๆ ในสังคม ระบบงานต่างๆ ที่ไม่คล่องตัว ฯลฯ
คนทั้ง หลายในโลกแตกต่างกันมากโดยอัธยาสัยใจคอ โอกาสที่จะได้อย่างใจเรานั้นอย่าพึงคิด เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มเข้าหมู่คนหรือมีคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ให้เตรียมขันติไว้ต่อต้านความเจ็บใจ
๔.อดทนต่ออำนาจกิเลส เป็นการอดทนต่ออารมณ์อันน่าใคร่น่าเพลิดเพลินใจ อดทนต่อสิ่งที่เราอยากทำ แต่ไม่สมควรทำ เช่น อดทน ไม่เที่ยวเตร่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เสพสิ่งเสพย์ติด ไม่รับสินบน ไม่คอรัปชั่น ไม่ผิดลูกเมียเขา ไม่เห่อยศ ไม่บ้าอำนาจ ไม่ขี้โอ่ ไม่ขี้อวด เป็นต้น
การอดทนข้อนี้ทำได้ยากที่สุด โบราณเปรียบไว้ว่า “เขาด่าแล้วไม่โกรธ ว่ายากแล้ว เขาชมแล้วไม่ยิ้ม ยากยิ่งกว่า”
วิธีฝึกให้มีความอดทน
๑.ต้อง คำนึงถึงหิริโอตตัปปะให้มาก เมื่อมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปอย่างเต็มที่ ความอดทนย่อมจะเกิดขึ้น ดังตัวอย่างในเรื่องของพระเตมีย์ใบ้
เมื่อ ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ มีอยู่ชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นโอรสกษัตริย์นามว่าพระเตมีย์ ขณะอายุได้ ๖-๗ ขวบ ได้เห็นพระราชบิดาสั่งประหารโจรโดยใช้ไฟครอกให้ตาย ด้วยบุญบารมีที่ทำมาดีแล้ว ทำให้พระเตมีย์ระลึกชาติได้ว่าภพในอดีตพระองค์ก็เคยเป็นกษัตริย์ และก็เคยสั่งประหารโจร ทำให้ต้องตกนรกอยู่ช้านาน จึงคิดว่า ถ้าชาตินี้เราต้องเป็นกษัตริย์อีก ก็ต้องฆ่าโจรอีก แล้วก็จะตกนรกอีก
ตั้งแต่ วันนั้นมา พระเตมีย์จึงแกล้งทำเป็นใบ้ ทำเป็นอ่อนเปลี้ยเสียขาไม่ขยับเขื้อนร่างกายพระราชบิดาจะเอาขนมเอาของเล่นมา ล่อ ก็ไม่สนใจ จะเอามดมาไต่ ไรมากัด เอาไฟมาเผารอบตัวให้ร้อน เอาช้างมาทำท่าจะแทงก็เฉย ครั้งถึงวัยหนุ่ม จะเอาสาวๆ สวยๆ มาล่อ ก็เฉยเพราะคำนึงถึงภัยในนรก หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นเต็มที่ จึงมีความอดทนอยู่ได้
นานวันเข้าพระราชบิดาเห็นว่า ถ้าเอาพระเตมีย์ไว้ก็จะเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง จึงสั่งให้คนนำไปประหารเสียนอกเมือง เมื่อออกมาพ้นเมืองแล้ว พระเตมีย์ก็แสดงตัวว่าไม่ได้พิการแต่อย่างใด มีพละกำลังสมบูรณ์พร้อม แล้วก็ออกบวช ต่อมาพระราชบิดา ญาติพี่น้อง ประชาชนก็ได้ออกบวชตามไปด้วยและได้สำเร็จฌานสมาบัติกันเป็นจำนวนมาก
๒.ต้อง รู้จักเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น คือ นึกเสียว่า ที่เขาทำแก่เราอย่างนั้นน่ะดีแล้ว เช่น เขาด่า ก็นึกเสียว่าดีกว่าเขาตี เขาตีก็นึกเสียว่าดีกว่าเขาฆ่า เมียที่มีชู้ยังดีกว่าเมียที่ฆ่าผัว ผัวมีเมียน้อยก็ยังดีกว่าผัวที่ฆ่าเมียเพราะเห็นแก่หญิงอื่น ถ้าเปรียบกับการชกมวย การสู้แบบนี้ก็คือการหลบหมัดของคู่ต่อสู้ โดยวิธีหมอบลงต่ำให้หมัดเขาคร่อมหัวเราไปเสีย เราไม่เจ็บตัว ตัวอย่างในเรื่องนี้ ดูได้จากพระปุณณะเถระ
พระปุณณะเดิมเป็นชาวสุนาปรันตะ ไปค้าขายที่เมืองสาวัตถีได้ฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงออกบวช
ครั้น บวชแล้วการทำสมาธิภาวนาไม่ได้ผล เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ท่านคิดว่าภูมิอากาศที่บ้านเดิมของท่านเหมาะกับตัวท่านมากกว่า จึงทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับสั่งถามว่า
“เธอแน่ใจหรือ ปุณณะ, คนชาวสุนาปรันตะนั้นดุร้ายมากนักทั้งหยาบคายด้วย เธอจะทนไหวหรือ”
“ไหวพระเจ้าข้า”
“นี่ปุณณะ ถ้าคนพวกนั้นเขาด่าเธอ เธอจะมีอุบายอย่างไร”
“ข้าพเจ้าก็จะคิดว่าถึงเขาจะด่าก็ยังดีกว่าเขาตบต่อยด้วยมือพระเจ้าข้า”
“ถ้าเผื่อเขาต่อยเอาล่ะ ปุณณะ”
“ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาก้อนดินข้วางเอา”
“ก็ถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเอาล่ะ”
“ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาไม้ตะพดตีเอา”
“เออ ถ้าเผื่อเขาหวดด้วยตะพดล่ะ”
“ก็ยังดีพระเจ้าค่ะ ดีกว่าถูกเขาแทงหรือฟันด้วยหอกดาบ”
“เอาล่ะ ถ้าเผื่อคนพวกนั้นเขาจะฆ่าเธอด้วยหอกด้วยดาบล่ะ ปุณณะ”
“ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า มันก็เป็นการดีเหมือนกัน พระเจ้าข้า”
“ดีอย่างไร ปุณณะ”
“ก็ คนบางพวกที่คิดอยากตาย ยังต้องเสียเวลาเที่ยวแสวงหาศัสตราวุธมาฆ่าตัวเอง แต่ข้าพระองค์ มีโชคดีกว่าคนพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวหาศัสตราวุธอย่างเขา”
“ดีมาก ปุณณะ เธอคิดได้ดีมาก เป็นอันตกลง เราอนุญาตให้เธอไปพำนักทำความเพียร ที่ตำบลสุนาปรันตะได้”
พระปุณณะกลับไปเมืองสุนาปรันตะแล้ว ทำความเพียร ในไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกายไปตามลำดับ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นี่คือเรื่องของพระปุณณะ นักอดทนตัวอย่าง ซึ่งอดทนได้โดยวิธีเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น
๓.ต้อง ฝึกสมาธิมากๆ เพราะทั้งขันติและสมาธิเป็นคุณธรรมที่เกื้อหนุนกัน ขันติจะหนักแน่นก็ต้องมีสมาธิมารองรับ สมาธิจะก้าวหน้าก็ต้องมีขันติเป็นพื้นฐาน ขันติอุปมาเหมือนมือซ้าย สมาธิอุปมาเหมือนมือขวา จะล้างมือ มือทั้งสองข้างจะต้องช่วยกันล้าง จึงจะสะอาดดี
มีตัวอย่างของผู้มีความอดทนเป็นเลิศอีกท่านหนึ่ง คือ พระโสมสนาคเถระ
พระ โสมสนาคเถระ เป็นพระที่ทำสมาธิจนสามารถระลึกชาติได้แต่ยังไม่หมดกิเลส วันหนึ่งท่านนั่งสมาธิอยู่กลางแจ้ง พอถึงตอนเที่ยงแดดส่องเหงื่อไหลท่วมตัวท่าน พวก
ลูกศิษย์จึงเรียนท่าน ว่า “ท่านขอรับ นิมนต์ท่านนั่งในที่ร่มเถิด อากาศเย็นดี” พระเถระกล่าวตอบว่า “คุณ ฉันนั่งในที่นี้ เพราะกลัวต่อความร้อนนั่นเอง” แล้วมานั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป เพราะเคยได้ตกนรกมาหลายชาติ เห็นว่าความร้อนในอเวจีที่เคยตก ร้อนกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า ท่านจึงไม่ลุกหนี ตั้งใจทำสมาธิต่อไป จนในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
พวกเราก็มีข้อคิดเตือนใจอยู่ว่า
“ที่อ้างร้อนนัก หนาวนัก ขี้เกียจภาวนา ระวัง จะไปร้อนหมกไหม้ในอเวจี หนาวเสียดกระดูกในโลกันต์”
อานิสงส์การมีความอดทน
๑.ทำให้กุศลธรรมทุกชนิดเจริญขึ้นได้
๒.ทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
๓.ทำให้ตัดรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งหลายได้
๔.ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ทุกอิริยาบท
๕.ชื่อว่าได้เครื่องประดับอันประเสริฐของนักปราชญ์
๖.ทำให้ศีลและสมาธิตั้งมั่น
๗.ทำให้ได้พรหมวิหารโดยง่าย
๘.ทำ ให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย “บุคคลอดทนต่อคำของผู้สูงกว่าได้ เพราะความกลัว อดทนถ้อยคำของผู้เสมอกันได้ เพราะเหตุแห่งความแข่งดี ส่วนผู้ใดในโลกนี้ อดทนต่อคำของคนเลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่า ความอดทนนั้นสูงสุด”
(พุทธพจน์) มีความอดทน
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Staycrime
Purpose:
Our purpose is to provide you, the family, with
information that will help your loved one be crime and
drug free. This will help to make our communities a
better, safer place to live. The goal is to break the cycle of
your family member's returning to jail or prison so your
family can move forward to a better future.
Can You Help?
As a result of your loved one’s actions, maybe you feel at
times that you are serving time right along with them! If
so, we would like to give you some food for thought and
maybe some skills that will help you and your loved one.
This brochure is intended to be educational, informational,
and motivational. There is nothing magic about “going
back home.” It takes hard work and the willingness to
change. But sometimes we need to be motivated to change
and to do hard work. So let us try to find some motivation.
We want you to read the questions below and answer
them, even if you do not write the answers down.
1. Would it be enough for you if your loved one stopped
getting caught doing wrong, or would you want him or
her to make real changes?
2. What do you think motivates your loved one when he
or she does wrong or breaks rules?
3. Why do you think your loved one should change if he
or she decided to?
4. If your loved one did make changes in his in her life,
what would things look like for you and him or her?
Think about these questions seriously. You can even
write down your answers. If you do, they could provide
you and your family member more reasons to make
changes.
Thinking About Your Situation
If the answers to these questions have you thinking, the
rest of the brochure may be of help. Or if you just want
your family member to have a better chance of staying
crime and drug free and did not even answer the questions,
then the rest of the brochure is for you.
In the rest of the brochure, you will find some ideas and
skills and concepts that have been long used to benefit
loved ones of people who have been in the criminal justice
system. The first one is called Enabling.
Enabling:
The first topic we want to discuss is called ENABLING.
When people ENABLE someone, they are giving support
for bad behavior. In other words, ENABLING someone is
making excuses for them, making light of their negative
behavior, or overlooking their bad actions.
Some people are ENABLERS because they do not want to
admit their friend or family member has done bad things.
Others enable people because they want to keep the
behavior a secret. Still others enable friend or family
members because they are afraid the family member will leave them, hurt them, not talk to them again, or stop
loving them.
Enabling only makes the problem worse. When someone
is enabled, her or his bad behavior is supported, which
helps support a cycle of crime and drug use. To stop
enabling, a person must hold the family member
accountable for his or her actions.
Accountability:
ACCOUNTABILITY means that someone holds a person
responsible for his or her behavior, which means NOT
accepting the family member’s excuses for bad behavior.
Holding a friend or family member accountable when she
or he shows bad behavior or a bad attitude means keeping
it real, saying what really is happening, and telling the hard
truth. This is also called “tough love”.
An example of Accountability:
Tony, your family member, paroles out to your home. One of his
conditions of parole is that he not use any alcohol or drugs. Tony
has a history of alcohol use. The next night you come home and find
that Tony had his old friends over and they were drinking alcohol.
After his friends leave, you remind Tony that he is not supposed to
be drinking. He says he only wanted to celebrate his freedom. As
an enabler, you would say “Oh, Ok, I understand” and let it go. As
someone who is using accountability, you would say, “Remember
that if you want to keep your freedom, you’ve got to do what the
parole rules say” and maybe offer to get him to an AA meeting or in
touch with a sponsor.
This type of response is a form of good communication.
There are many good communication skills that can help
your friend or family member to stay drug and crime free.
Communication:
Communication is another way someone can affect
whether a friend or family member stays crime and drug
free or not. Good communication with a family member
who has been involved with drugs or crime is important.
Poor communication can lead to misunderstandings,
Problem Solving:
Everyone has problems at one time or another. How
problems are handled is what will lead to more trouble or
not. Some basic steps of problem solving are:
• Stop and Think When you realize there is a problem
give yourself some time to think before you act.
• Describe The Problem Describe the problem without
putting blame on anyone. Writing it out is best.
• Get Information Figure out who all is involved in the
problem and how they feel about the problem.
• Choices & Consequences Think of ways to handle the
problem and what would happen to everyone involved
if those ways were chosen.
• Choose the Best Solution Choose the best way to handle
the problem that will result in no one getting hurt and
gets your family closer to a normal life.
• Keep Learning Always remember to learn from
mistakes. Use your experience about old problems that
were handled well.
Many of our problems are better solved when we ask for
help, which is another skill to keep friends and family drug
and crime free.
Asking For Help:
There are times when we can not decide how to handle a
problem or we need more information before we make a
decision. Here are a few simple steps we can take to be
better at asking for help that we need:
1. Decide what help is needed.
2. Decide whom best to ask.
3. Think of ways we can ask this person (the phone, a
letter, or talk to them face-to-face?).
4. Decide when would be the best time to ask the person
for help or information (for a face-to-face, should we
just show up or make an appointment?).
5. Then ask!
If someone is on the wrong side of the things we’ve talked
about so far, Enabling, Accountability, Communicating,
Problem Solving, and Asking for Help, that person would
be more likely to end up in the trap of Co-Dependency.
Co-Dependency:
Co-Dependents are those who live for others and put
others first at their and their family’s expense. A person
who is co-dependent “depends” on another person so much
that the other person can treat them any way they want. A
co-dependent person (and his or her family) suffers the
negative consequences of the other person’s bad behavior.
So someone covers for a substance-using family member,
and ends up going hungry because she lost a job. Or a
parent “pulls some strings” to keep her son out of jail, and
the son ends up stealing from the parent. Or a girlfriend
covers cuts and bruises gotten in a beating from a
boyfriend, but she ends up just getting beat again.
There are always exceptions, but co-dependency is usually
passed on from family members to other family members.
It affects the ability of everyone in a family to have
healthy, satisfying relationships.
Co-dependents have relationships that are one-sided,
where only the needs of the other person are met. The co-dependent ends up having less and less of a life, maybe
even becoming depressed or suicidal. Relationships like
this affect everyone in the family, with children often
learning to be a co-dependent or an abuser. In other
words, a child sees the co-dependency or abuse as normal,
and the destructive cycle continues. We want to help
break that cycle.
Using the skills covered here is one way to avoid the codependency
trap. If a person does not enable, holds a
friend or family member accountable, uses good problemsolving
skills, knows how and when to ask for help, and
avoids becoming co-dependent, then the offender will be
less likely to be involved with crime and drugs. And when
they get out of the system, they’ll stay out!
__________________________________________________ __
The New Georgia Department of Corrections (GDC)!
In the past several years, the Department has made MANY
changes, a great many of them for ONE SINGLE
PURPOSE. This purpose is TO KEEP PEOPLE who have
gotten in trouble FROM COMING BACK after they get
released out of the criminal justice system.
These changes have many names and have many people
involved. Evidence Based Practice, What Works, Reentry,
and Transitioning from Prison to Community are a few.
But they all are intended to help offenders like your loved
one NOT COME BACK into the system once they are out.
This purpose has come from the President, the Governor,
the Commissioner, and maybe even fellow members of
your community. Think about it this way. Two offenders
are about to be released from prison. One, we’ll call
Johnny, exits the gate. He has clothes, a bus ticket, and
$25. The other, Jimmy, has clothes, ticket, and $25, but
has taken the opportunity to go to the new programs that
research has shown to reduce his chance of getting back
into substances and crime. Here’s what Jimmy might have
been through (please note that many of these programs
have limited space and restrictions on who can attend):
COMPAS: COMPAS is a questionnaire that all offenders
complete that tells the GDC what they should be working
on to keep them from coming back to prison. Some of the
things that might be identified are education, work skills,
substance abuse, and attitudes. The COMPAS results are a
crucial part of keeping your loved from returning.
Day Reporting Centers: DRCs help those who have
substance abuse problems. Judges can order selected
offenders to go through a day reporting center instead of
returning to prison. Offenders in DRCs receive intensive
outpatient substance abuse services and other services and
skills intended to keep them out of prison, such as
monitoring, GED help, and assistance finding jobs.
Corporate Take 5: local corporations agree to “take” five
offenders who get released. The offender receives special
training, a good paying job and money set aside for
release. The corporation receives benefits such as tax and
bonding help, and monitoring of the offender by the GDC.
Housing Initiative: Some offenders spend months and
years in prison after they become eligible for parole
because they have no place to live. Selected offenders
who have this problem are given help. Sources from the
arguments, and even fights. Good communication can
prevent such problems.
Good communication is more than just talking. It is also
listening and understanding. Sometimes people speak and
listeners say they hear what was said when they did not.
Here are some keys to good communication:
• At least two people are involved in every conversation,
so listening and speaking are both important.
• Look at the person.
• Take turns when speaking.
• Ask the other person a question to see if they
understood what was said. Do not just ask, “Did you
hear me?” but ask if he or she understood what was said
or ask him or her to repeat what was said in his or her
own words.
Good communication takes practice and patience but it is
worth the effort when everyone gets along better. Much of
the communications we do are about problems. In order to
help friends or family stay crime and drug free, effective
problem solving is another good skill to know.
Our purpose is to provide you, the family, with
information that will help your loved one be crime and
drug free. This will help to make our communities a
better, safer place to live. The goal is to break the cycle of
your family member's returning to jail or prison so your
family can move forward to a better future.
Can You Help?
As a result of your loved one’s actions, maybe you feel at
times that you are serving time right along with them! If
so, we would like to give you some food for thought and
maybe some skills that will help you and your loved one.
This brochure is intended to be educational, informational,
and motivational. There is nothing magic about “going
back home.” It takes hard work and the willingness to
change. But sometimes we need to be motivated to change
and to do hard work. So let us try to find some motivation.
We want you to read the questions below and answer
them, even if you do not write the answers down.
1. Would it be enough for you if your loved one stopped
getting caught doing wrong, or would you want him or
her to make real changes?
2. What do you think motivates your loved one when he
or she does wrong or breaks rules?
3. Why do you think your loved one should change if he
or she decided to?
4. If your loved one did make changes in his in her life,
what would things look like for you and him or her?
Think about these questions seriously. You can even
write down your answers. If you do, they could provide
you and your family member more reasons to make
changes.
Thinking About Your Situation
If the answers to these questions have you thinking, the
rest of the brochure may be of help. Or if you just want
your family member to have a better chance of staying
crime and drug free and did not even answer the questions,
then the rest of the brochure is for you.
In the rest of the brochure, you will find some ideas and
skills and concepts that have been long used to benefit
loved ones of people who have been in the criminal justice
system. The first one is called Enabling.
Enabling:
The first topic we want to discuss is called ENABLING.
When people ENABLE someone, they are giving support
for bad behavior. In other words, ENABLING someone is
making excuses for them, making light of their negative
behavior, or overlooking their bad actions.
Some people are ENABLERS because they do not want to
admit their friend or family member has done bad things.
Others enable people because they want to keep the
behavior a secret. Still others enable friend or family
members because they are afraid the family member will leave them, hurt them, not talk to them again, or stop
loving them.
Enabling only makes the problem worse. When someone
is enabled, her or his bad behavior is supported, which
helps support a cycle of crime and drug use. To stop
enabling, a person must hold the family member
accountable for his or her actions.
Accountability:
ACCOUNTABILITY means that someone holds a person
responsible for his or her behavior, which means NOT
accepting the family member’s excuses for bad behavior.
Holding a friend or family member accountable when she
or he shows bad behavior or a bad attitude means keeping
it real, saying what really is happening, and telling the hard
truth. This is also called “tough love”.
An example of Accountability:
Tony, your family member, paroles out to your home. One of his
conditions of parole is that he not use any alcohol or drugs. Tony
has a history of alcohol use. The next night you come home and find
that Tony had his old friends over and they were drinking alcohol.
After his friends leave, you remind Tony that he is not supposed to
be drinking. He says he only wanted to celebrate his freedom. As
an enabler, you would say “Oh, Ok, I understand” and let it go. As
someone who is using accountability, you would say, “Remember
that if you want to keep your freedom, you’ve got to do what the
parole rules say” and maybe offer to get him to an AA meeting or in
touch with a sponsor.
This type of response is a form of good communication.
There are many good communication skills that can help
your friend or family member to stay drug and crime free.
Communication:
Communication is another way someone can affect
whether a friend or family member stays crime and drug
free or not. Good communication with a family member
who has been involved with drugs or crime is important.
Poor communication can lead to misunderstandings,
Problem Solving:
Everyone has problems at one time or another. How
problems are handled is what will lead to more trouble or
not. Some basic steps of problem solving are:
• Stop and Think When you realize there is a problem
give yourself some time to think before you act.
• Describe The Problem Describe the problem without
putting blame on anyone. Writing it out is best.
• Get Information Figure out who all is involved in the
problem and how they feel about the problem.
• Choices & Consequences Think of ways to handle the
problem and what would happen to everyone involved
if those ways were chosen.
• Choose the Best Solution Choose the best way to handle
the problem that will result in no one getting hurt and
gets your family closer to a normal life.
• Keep Learning Always remember to learn from
mistakes. Use your experience about old problems that
were handled well.
Many of our problems are better solved when we ask for
help, which is another skill to keep friends and family drug
and crime free.
Asking For Help:
There are times when we can not decide how to handle a
problem or we need more information before we make a
decision. Here are a few simple steps we can take to be
better at asking for help that we need:
1. Decide what help is needed.
2. Decide whom best to ask.
3. Think of ways we can ask this person (the phone, a
letter, or talk to them face-to-face?).
4. Decide when would be the best time to ask the person
for help or information (for a face-to-face, should we
just show up or make an appointment?).
5. Then ask!
If someone is on the wrong side of the things we’ve talked
about so far, Enabling, Accountability, Communicating,
Problem Solving, and Asking for Help, that person would
be more likely to end up in the trap of Co-Dependency.
Co-Dependency:
Co-Dependents are those who live for others and put
others first at their and their family’s expense. A person
who is co-dependent “depends” on another person so much
that the other person can treat them any way they want. A
co-dependent person (and his or her family) suffers the
negative consequences of the other person’s bad behavior.
So someone covers for a substance-using family member,
and ends up going hungry because she lost a job. Or a
parent “pulls some strings” to keep her son out of jail, and
the son ends up stealing from the parent. Or a girlfriend
covers cuts and bruises gotten in a beating from a
boyfriend, but she ends up just getting beat again.
There are always exceptions, but co-dependency is usually
passed on from family members to other family members.
It affects the ability of everyone in a family to have
healthy, satisfying relationships.
Co-dependents have relationships that are one-sided,
where only the needs of the other person are met. The co-dependent ends up having less and less of a life, maybe
even becoming depressed or suicidal. Relationships like
this affect everyone in the family, with children often
learning to be a co-dependent or an abuser. In other
words, a child sees the co-dependency or abuse as normal,
and the destructive cycle continues. We want to help
break that cycle.
Using the skills covered here is one way to avoid the codependency
trap. If a person does not enable, holds a
friend or family member accountable, uses good problemsolving
skills, knows how and when to ask for help, and
avoids becoming co-dependent, then the offender will be
less likely to be involved with crime and drugs. And when
they get out of the system, they’ll stay out!
__________________________________________________ __
The New Georgia Department of Corrections (GDC)!
In the past several years, the Department has made MANY
changes, a great many of them for ONE SINGLE
PURPOSE. This purpose is TO KEEP PEOPLE who have
gotten in trouble FROM COMING BACK after they get
released out of the criminal justice system.
These changes have many names and have many people
involved. Evidence Based Practice, What Works, Reentry,
and Transitioning from Prison to Community are a few.
But they all are intended to help offenders like your loved
one NOT COME BACK into the system once they are out.
This purpose has come from the President, the Governor,
the Commissioner, and maybe even fellow members of
your community. Think about it this way. Two offenders
are about to be released from prison. One, we’ll call
Johnny, exits the gate. He has clothes, a bus ticket, and
$25. The other, Jimmy, has clothes, ticket, and $25, but
has taken the opportunity to go to the new programs that
research has shown to reduce his chance of getting back
into substances and crime. Here’s what Jimmy might have
been through (please note that many of these programs
have limited space and restrictions on who can attend):
COMPAS: COMPAS is a questionnaire that all offenders
complete that tells the GDC what they should be working
on to keep them from coming back to prison. Some of the
things that might be identified are education, work skills,
substance abuse, and attitudes. The COMPAS results are a
crucial part of keeping your loved from returning.
Day Reporting Centers: DRCs help those who have
substance abuse problems. Judges can order selected
offenders to go through a day reporting center instead of
returning to prison. Offenders in DRCs receive intensive
outpatient substance abuse services and other services and
skills intended to keep them out of prison, such as
monitoring, GED help, and assistance finding jobs.
Corporate Take 5: local corporations agree to “take” five
offenders who get released. The offender receives special
training, a good paying job and money set aside for
release. The corporation receives benefits such as tax and
bonding help, and monitoring of the offender by the GDC.
Housing Initiative: Some offenders spend months and
years in prison after they become eligible for parole
because they have no place to live. Selected offenders
who have this problem are given help. Sources from the
arguments, and even fights. Good communication can
prevent such problems.
Good communication is more than just talking. It is also
listening and understanding. Sometimes people speak and
listeners say they hear what was said when they did not.
Here are some keys to good communication:
• At least two people are involved in every conversation,
so listening and speaking are both important.
• Look at the person.
• Take turns when speaking.
• Ask the other person a question to see if they
understood what was said. Do not just ask, “Did you
hear me?” but ask if he or she understood what was said
or ask him or her to repeat what was said in his or her
own words.
Good communication takes practice and patience but it is
worth the effort when everyone gets along better. Much of
the communications we do are about problems. In order to
help friends or family stay crime and drug free, effective
problem solving is another good skill to know.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)