วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

วิถีแห่งความลุ่มหลง-สงสัย



ฉันกำลังนั่งครุ่นคิดถึงการมีชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ ในสังคมนี้ ในวิชาชีพที่ตัวเองทำอยู่ 
ฉันอาจจะไม่ใช่คนฉลาดที่จะคิดนัก ด้วยเพราะบางอย่างฉันก็คิดไม่ได้ ฉันชอบนั่งมอง
ตัวเอง  มองความเห็น ความคิดของตัวเอง แล้วก็หยิบมาวิพากร์วิจารย์ แล้วก็มักจะให้ผล
ลบกับตัวเองตลอด  ฉันเข้าใจดีว่ามันเป็นการมองตัวเองในแง่ลบ  แต่ฉันต้องการมองโลก
อย่างถูกต้อง มากกว่าที่จะมองเพื่อให้ถูกใจตัวเอง  ใครได้ฟังความคิดเห็นแบบนี้ถ้าไม่สรุปว่า
ฉันเครียด เขาต้องว่าฉันคิดมาก  แต่มันก็ถูกต้อง...ฉันชอบค้นหาความเป็นตัวตนของตัวเอง
ที่ฉันเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบเลย  มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตมาก มากเสียจนฉัน
ต้องถามตัวเองว่าฉันทำอะไรได้บ้าง  คำตอบที่ได้กี่ครั้งกี่หนก็เหมือนเดิม  ในความเป็นจริงฉัน
ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากคิดกับพูดกับตัวเอง  ทำไมฉันถึงไม่ค่อยสนใจเรื่องคนอื่นที่ควรใส่ใจ
อย่างผู้อื่นบ้าง  คำตอบก็คือฉันมิได้ต้องการเป็นคนอื่น ฉันต้องการเป็นตัวฉันเอง
แต่สิ่งทีฉันมองย้อนกลับมาที่ตัวเองมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉันไม่มีศักยภาพอะไรมากเพียงพอที่จะ

เดินต่อไปข้างหน้าได้เลย  ทุกสิ่งที่ฉันเริ่มทำ  หัดทำ  อยู่ต่อมาวันหนึ่งคนอื่นก็สามารถทำได้
และเขาทำได้ดีกว่าฉันเสียด้วย  เพราะเขามีความรู้มากกว่า เหนือกว่า และสูงกว่า
ทุกครั้งที่ฉันพยายามจะถีบความรู้สึกตัวเองให้ขึ้นสูง  สิ่งที่เจอเป็นด่านแรกเลย คือ เบรค
มันเหมือนว่าฉันถูกกดและข่มเหงด้วยความคิดบางอย่าง 
เชื่อมั้ยว่าวันนี้ ถึงฉันจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง  แต่คนที่หลงอยู่ในวังวนความคิดตัวเองมาแรมปี
ถ้าคิดได้จากสติปัญญาจริง ฉันคงไม่นั่งทุกข์ใจอยู่เช่นนี้  ฉันค้นพบว่าตัวตนอันแท้จริงของฉันนั้น
หาได้มีอยู่ในโลกใบนี้ไม่  การมีตัวตนอันแท้จริงของฉันไม่มีอยู่ในสายตาผู้อื่น  ด้วยเพราะความพร่อง
ที่ฉันมีมากเหลือเกิน  ต่อให้มีคนเห็นอกเห็นใจความรู้สึกเหล่านี้แค่ไหน เขาก็ไม่มีวันเข้าใจในสิ่ง
ที่ฉันรู้สึกได้หรอก  เต็มที่เขาก็ทำได้แค่คาดเดา  แล้วคนอย่างฉันนี้น่ะหรือจะไปพึ่งพาอะไรได้
แม้ขนาด...ช่างเถอะ ฉันเพียงแต่กำลังจะบอกว่าฉันไม่ดีใจกับการที่ได้เป็นคนอื่น ได้ทำตามคนอื่น
เชิด หรือเป็นในสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์  เขาจะมาบอกฉันให้ฉันรู้สึกแย่กับเขาอีกเพื่ออะไร
ในเมื่อฉันก็พิจารณาความเป็นฉันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว  ถามว่าสิ่งที่เขาตัดสินฉันใช่ฉันทุกสิ่งหรือก็เปล่า  แต่ฉันต้องอดทนรับฟังมันให้ได้  ต้องแข็งและยอมรับการวิพากษ์นั้นให้ได้ ใครก็พูดได้
ถ้าตัวเองไม่ใช่คนที่ยืนเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ตรงนั้น  ใครบ้างในโลกใบนี้ที่จะรู้ถึงขีดจำกัดความสามารถ
ของตัวเองได้ดีเท่าตัวฉันเอง  ในขณะที่ฉันวิพากษ์วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆนั้น ฉันมั่นใจว่าฉันใส่ความถ่อมตนลงไปในทุกๆครั้ง  ฉันไม่เคยฮึกเหิม ลิงโลด หรือได้ใจไปกับบางสิ่งบางอย่างตามที่คนอื่นกล่าวอ้างว่าฉันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ฉันรู้ว่าฉันจะไม่ทำอะไร และนั่นคือขีดจำกัดของคนเขลา
อย่างฉัน  แต่ทว่าฉันก็ยังไม่เคยรู้ความจริงเลยว่าแท้จริงแล้วฉันทำอะไรได้ถึงระดับไหน  การใช้ชีวิต
อยู่ใต้ปีกของตัวเอง  ไม่เห่อเหิม  ไม่ลืมตัวกระดี๊กระด๊่า ใช่ฉันกล้าพอที่จะพูดเยี่ยงนี้ เพราะฉันมั่นใจ
ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวฉันจริงๆ และฉันคงยอมรับมันไม่ได้ด้วยถ้าตัวเองต้องผันตัวเองไปเป็นแบบนั้น 
ฉันเองก็เกลียดนะ เกลียดความท้อแท้ เกลียดความบาดหมาง เกลียดความไม่เอาไหนของตนเอง
แต่ภายใต้ปีกของตัวเองนั้น ฉันต้องยอมรับว่าฉันกางปีกบางๆของฉันออกมาไม่ได้  ฉันยินดีและ
พอใจที่จะซุกตัวอยู่ใต้ปีกเล็กๆบางๆของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองยังพอได้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
แน่นอน มันต้องดีกว่าการถลากางปีกบางบินออกไปแล้วต้องไปเจอเหตุเภทภัยของใครก็ไม่รู้ส่งผล
กระทบมาให้ฉัน  ฉันจะไม่มีวันเรียกตัวเองว่าผู้นำ ตราบใดที่ยังไม่มีการยอมรับในความเป็นตัวของฉัน
เอง  เขาคิดและนึกแทนฉันไปเสียทุกอย่างไม่ได้ แม้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะให้ความบันเทิงเริงใจบ้างก็ตาม  ฉันเกลียดความไม่ไว้วางใจ  เกลียดสายตาและความคิดที่กดขี่และข่มเหงความพร่องของฉัน
เพราะฉันมิอาจปัด หรือปฎิเสธได้ว่าเขาไม่ได้กำลังพูดความจริง  แต่เมื่อไรก็ตามถ้าฉันฮึดจะสู้ ตอบโต้
กลับขึ้นมา ฉันพบว่าสิ่งที่สะท้อนกลับมาคือความรังเกียจ ความหมางเมิน พร้อมกับคำว่าก้าวร้าว
เมื่อคนโผงผาง ตั้งตรงแหน่วอย่างฉันต้องเก็บกดความบ้า มุทะลุของตัวเองไว้ทุกๆวัน  จินตานาการไป
ก็คงไม่ต่างจากภูเขาไฟดีๆนี่เล่า  ที่มันมองจากข้างนอกไม่มีอะไร  แต่ข้างในมันเต็มไปด้วยไฟที่ร้อนระอุ และสามารถประทุได้ตลอดเวลา  จนบางคนถึงกับเอ่ยปากว่า ร้ายลึก คำถามหนึ่งก็คือการที่คนเราในสังคมมีความสุข สนุกกับการพิจารณามองคนอื่น  สั่งสอนตักเตือนผู้อื่น เขาได้ทำการสำรวจตัวเอง
หรือยัง  ฉันไม่สามารถทำให้คนที่มองมาที่ฉันทั้งร้อยคนพอใจในความเป็นฉันได้หรอก  ซึ่งฉันก็ไม่แคร์ด้วย แต่เชื้อไฟที่มันระอุอยู่เป็นทุนเดิมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนั้น มันบันดาลให้เป็นความโกรธ  ทั้งที่แท้จริง ฉันอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายกับคำพูดเหล่านั้นก็ได้ แต่เหมือนหม้อน้ำเดือดตั้งอยู่บนเตานั่นแหละ ใครจะมาแตะก็ไม่ได้  ฉันยอมรับว่าตัวเองร้อนเหมือนไฟ และพร้อมจะเผาไหม้อะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่พอใจหรือเกินขีดจำกัดความอดทนที่ฉันสะสมมา คนๆนั้น อาจจะเป็นผู้โชคร้ายโดยบังเอิญ
และเชื่อมั้ยว่าฉันจะไม่ได้โอกาสแก้ตัวหรือแก้ไขเป็นครั้งที่สองจากคนๆนั้นอีก  ฉันไม่รู้เหมือนกันกันว่าทำไม  คนบางคนเช้ามาก็จ้องมองมาที่ฉัน แทนที่จะสำรวจความเป็นปกติของตัวเอง กลับจ้องจับผิดคนอื่น ไม่มีคนดีที่ไหนหรอกที่จะอยู่ในที่ๆฉันยืนอยู่แล้วบอกว่าไม่เครียด เว้นเสียแต่เขาไร้ซึ่งความรู้สึกไปแล้ว  ต่อให้เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีแค่ไหนก็เถิด ฉันพนันได้ว่าไม่มีใครยืนอยู่ในที่ของฉัน ณ ปัจจุบัน
ได้ดีไปกว่าฉันอีก มันทั้งดื้อ ด้าน ทั้งอด ทั้งทน กับข้อจำกัดและขีดขอบเขตต่างๆ ให้ตายเหอะ เวลา
มองอะไรจากข้างนอก ทุกอย่างมันช่างง่ายที่จะประสานและทำความเข้าใจ ก็เหมือนการเมืองไทยปัจจุบัน ที่ฉันมองไปกี่ครั้ง กี่ครั้ง ฉันก็มองไม่เห็นปัญหาที่พวกเขามองว่าเป็นปัญหา เช่นเดียวกันฉันเองก็เชื่อมั่นว่าเขาเหล่านั้นเมื่อมองกลับมาที่ฉัน จะต้องมองว่าปัญหาของฉันไม่ใช่ประเด็นปัญหา แต่เป็นการปรับใจ วางใจ ไม่ถูกกับสถานการณ์จริงขณะนั้นก็เป็นได้  ยิ่งเพื่อนในแวดวงการเมืองมองมาที่ฉันและสรุปว่าฉันงี่เง่ามากขึ้นเท่าไหร่  โอกาสที่จะถอยห่างจากฉันออกไปก็มีเพิ่มขึ้น หรือมากตามไปด้วย
แต่คนที่บ้ากว่านั้น เชื่อเถอะว่ายังมี ... คนชนิดนี้ชอบแส่ ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน  รู้ไปหมดทุกเรื่อง
ยกเว้นเรื่องตัวเอง  มีพร้อมทุกอย่างยกเว้นอนาคต  ฉันอยากสะท้อนให้เห็นมุมมองที่ต่างกัน เพื่อให้เกิด
ความเข้าอกเข้าใจ  คนตรงนั้นไม่ำเป็นต้องเป็นฉัน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะบอกว่าเขาทำในสิ่งที่ฉันทำได้ดีกว่าฉันก็จริง  แต่ในพื้นฐานของความจริงก็คือเขาไม่ใช่ฉัน เขาแค่ทำในสิ่งที่คล้าย หรือเหมือนกัน แล้วฉันหรือใครก็หยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบเท่านั้นเอง  มาถึงตรงนี้ฉันคงไม่ต้องอวดอ้าง
สรรพคุณ สรรพเคราะห์ สรรพโศก อะไรให้ใครฟังอีกหรอกว่าฉันทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง  เพราะคนบ้าๆ
อย่างที่ฉันเป็นนี่ก็เหมือนหมาบ้านะ ถ้ามันได้กัด มันก็จะกัดไม่ยอมปล่อย มันจะติดตาม วิ่งไล่ ไม่ว่าเหนื่อย หอบ โดนขับไล่ไสส่งแค่ไหนมันก็จะไม่ไป  ตรงกันข้ามเกิดไล่ๆกัดอยู่ดีกรีความบ้าเกิดลดลง
กระทันหัน มันก็อาจจะหยุดกัด  หยุดวิ่ง หยุดไล่งับเสียเฉยๆ ก็เป็นไปได้  ฉันไม่มีความเป็นกลางให้ตัวเอง และพร้อมจะเอียงกะเท่เล่เมืื่อต้องชั่งน้ำหนักตนเองเสมอๆด้วยซ้ำไป  ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันกำลังวิ่งไล่
วิ่งงับ ไล่กัดความเป็นประชาธิปไตยที่กระเด็นวืดผ่านหน้าไปหลัดๆ เมื่อไหร่  และก็ไม่รู้ว่าจะต้องวิ่งงับ
วิ่งไล่ไปทางไหนดี  แต่เชื่อเถอะฉันจะไม่หยุดวิ่งไล่งับ ไล่ฟัด ความเป็นประชาธิปไตยตรงหน้า (มันกลิ้งหรุน หรุนผ่านมาเมื่อกี้นี้) จนกว่าฉันจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ฉันเสียมันไปไม่ได้ เพราะคอจะตก หูจะรี่ หางร่วงจุกก้น หยุดวิ่งงับวิ่งไล่กัดทันที ถ้าเพียงเพราะสิ่งนี้หายไป  สิ่งนั้นก็คือ...
แล้วคุณล่ะ รู้สึกกับฉันแบบนี้บ้างไหม.



วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“เขาด่าแล้วไม่โกรธ ว่ายากแล้ว เขาชมแล้วไม่ยิ้ม ยากยิ่งกว่า"

"หญ้า แม้เป็นพืชต้นเล็กๆ แต่เพราะมีความทนทรหด จึงสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ทั่วโลกฉันใด คนเราแม้กำลังทรัพย์ กำลังความรู้ ความสามารถจะยังน้อย แต่ถ้ามีความอดทนแล้ว ย่อมสามารถฝึกฝนตนเอง ให้ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิตได้ฉันนั้น"

ความอดทนคืออะไร ?
ความ อดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะมีคนเทอะไรลงไป ของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม
งาน ทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ ที่สำเร็จขึ้นมาได้นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำแล้ว ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมอันหนึ่งเป็นพื้นฐานจึงสำเร็จได้ คุณธรรมอันนั้นคือ ขันติ
ถ้าขาดขันติเสียแล้ว จะไม่มีงานชิ้นใดสำเร็จได้เลย เพราะขันติเป็นคุณธรราสำหรับทั้งต่อต้านความท้อถอยหดหู่ ขับเคลื่อนเร่งเร้าให้เกิดความขยัน และทำให้เห็นอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องท้าทายความสามารถ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของงานทุกชิ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม คืออนุสาวรีย์ของขันติทั้งสิ้น
โดยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ยกเว้นปัญญาแล้ว เราสรรเสริญว่าขันติเป็นคุณธรรมอย่างยิ่ง” ลักษณะความอดทนที่ถูกต้อง

๑.มีความอดกลั้น คือ เมื่อถูกคนพาลด่า ก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ทำหูเหมือนหูกระทะ เมื่อเห็นอาการยั่วยุ ก็ทำราวกับว่าไม่ได้เห็น ทำตาเหมือนตาไม้ไผ่ ไม่สนใจใยดี ไม่ปล่อยใจให้เศร้าหมองไปด้วย ใส่ใจ สนใจ แต่ในเรื่องที่จะทำความเจริญให้แก่ตนเอง เช่น เจริญศีล สมาธิ ปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

๒.เป็นผู้ไม่ดุร้าย คือ สามารถข่มความโกรธไว้ได้ ไม่โกรธ ไม่ทำร้ายทำอันตรายด้วยอำนาจแห่งความโกธนั้น ผู้ที่โกรธง่ายแสดงว่ายังขาดความอดทน มีคำตรัสของท้าวสักกะ เป็นข้อเตือนใจอยู่ว่า “ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธก่อนแล้ว ผู้นั้นกลับเป็นคนเลวกว่า ผู้ที่โกรธก่อน ผู้ที่ไม่โกรธต่อบุคคลผู้กำลังโกรธอยู่ ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ชนะสงครามอันชนะได้ยากยิ่ง”

๓.ไม่ปลูกน้ำตาให้แก่ใครๆ คือ ไม่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเจ็บแค้นใจจนน้ำตาไหลด้วยอำนาจความเกรี้ยวกราดของเรา

๔.มีใจเบิกบานแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์ คือ มีปีติอิ่มเอิบใจเสมอๆ ไม่พยาบาท ไม่โทษฟ้า โทษฝน โทษเทวดา โทษโชคชะตา หรือโทษใครๆ ทั้งนั้น พยายามอดทนทำการงานทุกอย่างด้วยใจเบิกบาน

ลักษณะความอดทนนั้น โบราณท่านสอนลูกหลานไว้ย่อๆ ว่า “ปิดหูซ้ายขวา ปิดตาสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง นอนนั่งสบาย” คน บางคนขี้เกียจทำงาน บางคนขี้เกียจเรียนหนังสือ บางคนเกะกะเกเร พอมีผู้ว่ากล่าวตักเตือนก็เฉยเสีย แล้วบอกว่าตนเองกำลังบำเพ็ญขันติบารมี อย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด ตีความหมายของขันติผิดไป ขันติไม่ได้หมายถึงการตกอยู่ในสภาพใดก็ทนอยู่อย่างนั้น

“พวกที่จน ก็ทนจนต่อไป ไม่ขวนขวายทำมาหากิน จัดเป็นพวกตายด้าน”
“พวกที่โง่ ก็ทนโง่ไป ใครสอนให้ก็ไม่เอา จัดเป็นพวก ดื้อด้าน”
“พวกที่ชั่ว แล้วก็ชั่วอีก ใครห้ามก็ไม่ฟัง จัดเป็นพวก ดื้อดึง”
ลักษณะที่สำคัญยิ่งของขันติ คือ ตลอดเวลาที่อดทนอยู่นั้น จะต้องมีใจผ่องใส ไม่เศร้าหมอง

เราสรุปลักษณะของขันติโดยย่อ ได้ดังนี้
๑.อดทนถอนตัวหรือหลีกเลี่ยงจากความชั่วให้ได้
๒.อดทนทำความดีต่อไป
๓.อดทนรักษาใจไว้ไม่ให้เศร้าหมอง

ประเภทของความอดทน
ความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบได้เป็น ๔ประเภทคือ

๑.อดทนต่อความลำบากตรากตรำ เป็นการอดทนต่อสภาพธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ความหนาว ความร้อน ฝนตก แดดออก ฯลฯ ก็อดทนทำงานเรื่อยไป ไม่ใช่เอาแต่โทษเทวดาฟ้าดิน หรืออ้างเหตุเหล่านี้แล้วไม่ทำงาน

๒.อดทนต่อทุกขเวทนา เป็นการอดทนต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยความไม่สบายกายของเราเอง ความปวด ความเมื่อย ผู้ที่ขาดความอดทนประเภทนี้ เวลาเจ็บป่วย จะร้องครวญคราง พร่ำเพ้อรำพัน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ผู้รักษาพยาบาลทำอะไรไม่ทันใจหรือไม่ถูกใจ ก็โกรธง่ายพวกนี้จึงต้องป่วยเป็น ๒ เท่า คือ นอกจากจะป่วยกายที่เป็นอยู่แล้ว ยังต้องป่วยใจแถมเข้าไปด้วย ทำตัวเป็นที่น่าเบื่อหน่ายแก่ชนทั้งหลาย

๓.อดทนต่อความเจ็บใจ เป็นการอดทนต่อความโกรธ ความไม่พอใจ ความขัดใจ อันเกิดจากคำพูดที่ไม่ชอบใจ กิริยามารยาทที่ไม่งาม การบีบคั้นทั้งจากผู้บังคับบัญชาและลูกน้อง ความอยุติธรรมต่างๆ ในสังคม ระบบงานต่างๆ ที่ไม่คล่องตัว ฯลฯ
คนทั้ง หลายในโลกแตกต่างกันมากโดยอัธยาสัยใจคอ โอกาสที่จะได้อย่างใจเรานั้นอย่าพึงคิด เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มเข้าหมู่คนหรือมีคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ให้เตรียมขันติไว้ต่อต้านความเจ็บใจ

๔.อดทนต่ออำนาจกิเลส เป็นการอดทนต่ออารมณ์อันน่าใคร่น่าเพลิดเพลินใจ อดทนต่อสิ่งที่เราอยากทำ แต่ไม่สมควรทำ เช่น อดทน ไม่เที่ยวเตร่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เสพสิ่งเสพย์ติด ไม่รับสินบน ไม่คอรัปชั่น ไม่ผิดลูกเมียเขา ไม่เห่อยศ ไม่บ้าอำนาจ ไม่ขี้โอ่ ไม่ขี้อวด เป็นต้น

การอดทนข้อนี้ทำได้ยากที่สุด โบราณเปรียบไว้ว่า “เขาด่าแล้วไม่โกรธ ว่ายากแล้ว เขาชมแล้วไม่ยิ้ม ยากยิ่งกว่า”

วิธีฝึกให้มีความอดทน
๑.ต้อง คำนึงถึงหิริโอตตัปปะให้มาก เมื่อมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปอย่างเต็มที่ ความอดทนย่อมจะเกิดขึ้น ดังตัวอย่างในเรื่องของพระเตมีย์ใบ้
เมื่อ ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ มีอยู่ชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นโอรสกษัตริย์นามว่าพระเตมีย์ ขณะอายุได้ ๖-๗ ขวบ ได้เห็นพระราชบิดาสั่งประหารโจรโดยใช้ไฟครอกให้ตาย ด้วยบุญบารมีที่ทำมาดีแล้ว ทำให้พระเตมีย์ระลึกชาติได้ว่าภพในอดีตพระองค์ก็เคยเป็นกษัตริย์ และก็เคยสั่งประหารโจร ทำให้ต้องตกนรกอยู่ช้านาน จึงคิดว่า ถ้าชาตินี้เราต้องเป็นกษัตริย์อีก ก็ต้องฆ่าโจรอีก แล้วก็จะตกนรกอีก
ตั้งแต่ วันนั้นมา พระเตมีย์จึงแกล้งทำเป็นใบ้ ทำเป็นอ่อนเปลี้ยเสียขาไม่ขยับเขื้อนร่างกายพระราชบิดาจะเอาขนมเอาของเล่นมา ล่อ ก็ไม่สนใจ จะเอามดมาไต่ ไรมากัด เอาไฟมาเผารอบตัวให้ร้อน เอาช้างมาทำท่าจะแทงก็เฉย ครั้งถึงวัยหนุ่ม จะเอาสาวๆ สวยๆ มาล่อ ก็เฉยเพราะคำนึงถึงภัยในนรก หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นเต็มที่ จึงมีความอดทนอยู่ได้
นานวันเข้าพระราชบิดาเห็นว่า ถ้าเอาพระเตมีย์ไว้ก็จะเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง จึงสั่งให้คนนำไปประหารเสียนอกเมือง เมื่อออกมาพ้นเมืองแล้ว พระเตมีย์ก็แสดงตัวว่าไม่ได้พิการแต่อย่างใด มีพละกำลังสมบูรณ์พร้อม แล้วก็ออกบวช ต่อมาพระราชบิดา ญาติพี่น้อง ประชาชนก็ได้ออกบวชตามไปด้วยและได้สำเร็จฌานสมาบัติกันเป็นจำนวนมาก

๒.ต้อง รู้จักเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น คือ นึกเสียว่า ที่เขาทำแก่เราอย่างนั้นน่ะดีแล้ว เช่น เขาด่า ก็นึกเสียว่าดีกว่าเขาตี เขาตีก็นึกเสียว่าดีกว่าเขาฆ่า เมียที่มีชู้ยังดีกว่าเมียที่ฆ่าผัว ผัวมีเมียน้อยก็ยังดีกว่าผัวที่ฆ่าเมียเพราะเห็นแก่หญิงอื่น ถ้าเปรียบกับการชกมวย การสู้แบบนี้ก็คือการหลบหมัดของคู่ต่อสู้ โดยวิธีหมอบลงต่ำให้หมัดเขาคร่อมหัวเราไปเสีย เราไม่เจ็บตัว ตัวอย่างในเรื่องนี้ ดูได้จากพระปุณณะเถระ
พระปุณณะเดิมเป็นชาวสุนาปรันตะ ไปค้าขายที่เมืองสาวัตถีได้ฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงออกบวช
ครั้น บวชแล้วการทำสมาธิภาวนาไม่ได้ผล เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ท่านคิดว่าภูมิอากาศที่บ้านเดิมของท่านเหมาะกับตัวท่านมากกว่า จึงทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับสั่งถามว่า
“เธอแน่ใจหรือ ปุณณะ, คนชาวสุนาปรันตะนั้นดุร้ายมากนักทั้งหยาบคายด้วย เธอจะทนไหวหรือ”
“ไหวพระเจ้าข้า”
“นี่ปุณณะ ถ้าคนพวกนั้นเขาด่าเธอ เธอจะมีอุบายอย่างไร”
“ข้าพเจ้าก็จะคิดว่าถึงเขาจะด่าก็ยังดีกว่าเขาตบต่อยด้วยมือพระเจ้าข้า”
“ถ้าเผื่อเขาต่อยเอาล่ะ ปุณณะ”
“ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาก้อนดินข้วางเอา”
“ก็ถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเอาล่ะ”
“ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาไม้ตะพดตีเอา”
“เออ ถ้าเผื่อเขาหวดด้วยตะพดล่ะ”
“ก็ยังดีพระเจ้าค่ะ ดีกว่าถูกเขาแทงหรือฟันด้วยหอกดาบ”
“เอาล่ะ ถ้าเผื่อคนพวกนั้นเขาจะฆ่าเธอด้วยหอกด้วยดาบล่ะ ปุณณะ”
“ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า มันก็เป็นการดีเหมือนกัน พระเจ้าข้า”
“ดีอย่างไร ปุณณะ”
“ก็ คนบางพวกที่คิดอยากตาย ยังต้องเสียเวลาเที่ยวแสวงหาศัสตราวุธมาฆ่าตัวเอง แต่ข้าพระองค์ มีโชคดีกว่าคนพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวหาศัสตราวุธอย่างเขา”
“ดีมาก ปุณณะ เธอคิดได้ดีมาก เป็นอันตกลง เราอนุญาตให้เธอไปพำนักทำความเพียร ที่ตำบลสุนาปรันตะได้”
พระปุณณะกลับไปเมืองสุนาปรันตะแล้ว ทำความเพียร ในไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกายไปตามลำดับ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นี่คือเรื่องของพระปุณณะ นักอดทนตัวอย่าง ซึ่งอดทนได้โดยวิธีเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น

๓.ต้อง ฝึกสมาธิมากๆ เพราะทั้งขันติและสมาธิเป็นคุณธรรมที่เกื้อหนุนกัน ขันติจะหนักแน่นก็ต้องมีสมาธิมารองรับ สมาธิจะก้าวหน้าก็ต้องมีขันติเป็นพื้นฐาน ขันติอุปมาเหมือนมือซ้าย สมาธิอุปมาเหมือนมือขวา จะล้างมือ มือทั้งสองข้างจะต้องช่วยกันล้าง จึงจะสะอาดดี
มีตัวอย่างของผู้มีความอดทนเป็นเลิศอีกท่านหนึ่ง คือ พระโสมสนาคเถระ
พระ โสมสนาคเถระ เป็นพระที่ทำสมาธิจนสามารถระลึกชาติได้แต่ยังไม่หมดกิเลส วันหนึ่งท่านนั่งสมาธิอยู่กลางแจ้ง พอถึงตอนเที่ยงแดดส่องเหงื่อไหลท่วมตัวท่าน พวก
ลูกศิษย์จึงเรียนท่าน ว่า “ท่านขอรับ นิมนต์ท่านนั่งในที่ร่มเถิด อากาศเย็นดี” พระเถระกล่าวตอบว่า “คุณ ฉันนั่งในที่นี้ เพราะกลัวต่อความร้อนนั่นเอง” แล้วมานั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป เพราะเคยได้ตกนรกมาหลายชาติ เห็นว่าความร้อนในอเวจีที่เคยตก ร้อนกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า ท่านจึงไม่ลุกหนี ตั้งใจทำสมาธิต่อไป จนในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
พวกเราก็มีข้อคิดเตือนใจอยู่ว่า
“ที่อ้างร้อนนัก หนาวนัก ขี้เกียจภาวนา ระวัง จะไปร้อนหมกไหม้ในอเวจี หนาวเสียดกระดูกในโลกันต์”

อานิสงส์การมีความอดทน
๑.ทำให้กุศลธรรมทุกชนิดเจริญขึ้นได้
๒.ทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
๓.ทำให้ตัดรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งหลายได้
๔.ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ทุกอิริยาบท
๕.ชื่อว่าได้เครื่องประดับอันประเสริฐของนักปราชญ์
๖.ทำให้ศีลและสมาธิตั้งมั่น
๗.ทำให้ได้พรหมวิหารโดยง่าย
๘.ทำ ให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย “บุคคลอดทนต่อคำของผู้สูงกว่าได้ เพราะความกลัว อดทนถ้อยคำของผู้เสมอกันได้ เพราะเหตุแห่งความแข่งดี ส่วนผู้ใดในโลกนี้ อดทนต่อคำของคนเลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่า ความอดทนนั้นสูงสุด”

(พุทธพจน์) มีความอดทน